Saturday 29 August 2015

รักระหว่างรบ Love and War



ความรักเป็นแกนหลักแกนหนึ่งของหนังชุดฮวามู่หลันของ CCTV จีน. ที่รวมความรักระหว่างหนุ่มสาว ระหว่างพ่อแม่ลูก ระหว่างเพื่อน ระหว่างทหารร่วมค่ายและความรักชาติ. ในหนังชุดนี้ ความรักที่เป็นตัวสานเนื้อหาทั้งหมด คือความรักของหนุ่มสาวระหว่างโม่เจียงกับมู่หลัน. 
มาดูกันตั้งแต่ต้นเรื่องเลย  ความสัมพันธ์ที่เริ่มขึ้นฉันท์เพื่อน น่าประทับใจ. เมื่อโม่เจียงชวนมู่หลันซ้อนบนหลังม้าสีน้ำตาล ขี่ออกไปกลางทุ่งกว้าง ใบหน้าทั้งสองเบิกบาน ท่ามกลางสายลมและแสงแดด สนุกสนานอย่างเต็มที่เหมือนเพื่อนสองคนที่รู้ใจกัน. ชัดเจนว่ามู่หลันชอบขี่ม้า ชอบความเร็ว. 

(ตอน7 > https://www.youtube.com/watch?v=M5khsCZMdwY  นาทีที่ 06:48-08:40) 
        ต่อมาในตอน 16  ขี่ม้าออกไปเที่ยวในทุ่งหญ้า โม่เจียงจับมือทั้งสองของมู่หลัน  เริ่มพอใจ เข้าใจในกันและกัน  เรียบง่ายและจริงใจ  ใบหน้าอ่อนเยาว์ของความรักที่เริ่มแบ่งบาน  คนดูพลอยรู้สึกอ่อนโยนไปด้วย  โม่เจียงถามความสมัครใจมู่หลันว่า ออกไปบิน กับเขาอีกครั้งไหม
(ตอน16 à https://www.youtube.com/watch?v=RZh7wyale5M  นาทีที่ 01:56-07:18)  
คือขึ้นม้าไปเที่ยวด้วยกัน โม่เจียงนั่งหลัง  ทั้งสอง“บินไปด้วยกัน” (ด้วยความเร็วของม้า)  กู่ร้องโห่หิ๊วแบบเด็กๆใจบริสุทธิ์.  เป็นความฝันของหนุ่มสาวที่จะบินหนีความวุ่นวายทั้งหลายไปในดินแดนสงบ.  ดินแดนในความฝันของโม่เจียง ของชนเผ่าเลี้ยงสัตว์ที่มีชีวิตเร่ร่อน คือทุ่งกว้างไร้พรมแดน เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ รวมป่า เขา แม่น้ำ ทุ่งหญ้า ต้นไม้ ดอกไม้ ที่เขาเทียบว่าเหมือนสวรรค์ (仙境 ) และที่เขาอยากพามู่หลันไป ไปในที่ที่พวกเขาจะหลอมตัวเข้าในความบริสุทธิ์ไร้มายา.  ทุ่งกว้างที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ หลากสีสัน ลักษณะต่างๆ (ตั้งแต่ตอน2) ที่โม่เจียงสัญญาและพูดอยู่เสมอว่าจะพามู่หลันไป และมู่หลันก็บอกว่า ถ้าดอกไม้สวยอย่างนั้น เธอจะปักดอกไม้ทุกดอกลงบนผืนผ้าไหม.  โม่เจียงบอกว่า ดอกไม้มีมากกว่าดวงดาวในท้องฟ้า จะปักให้ครบ ต้องใช้เวลาตลอดชีวิต มู่หลันยินดีจะไปกับเขาไหม  มู่หลันขอตอบเมื่อทำผ้าปักไหมเสร็จ. โม่เจียงบอกจะคอย.  เขาโห่ร้องดีใจ มู่หลันบอกว่า เธอยังไม่ได้ตอบรับเลย. โม่เจียงบอกว่า  ถ้าผู้หญิงยอมขึ้นขี่ม้าของชายใด นั่นแสดงว่า ใจเธอเป็นของชายคนนั้นแล้ว.

โม่เจียงเดินมาส่งมู่หลันหน้าอาคารปักผ้า บอกว่า  ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าจะคอยอยู่นอกประตูตรงนี้ ทุกวัน  ถ้าเจ้าจะออกไปไหน ข้าจะไปด้วย .. เพราะตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าจะปกป้องเจ้า ถ้ามีใครคิดทำร้ายเจ้า ต้องข้ามศพข้าไปก่อน.  ทุกวัน แม้จะไม่เห็นเธอ มาอยู่ตรงนั้น เขาสบายใจ  เมื่อเธอได้ยินเสียงเท้าม้า  เธอก็จะรู้ว่า เขาอยู่ตรงนั้นปกป้องเธอ  รู้ว่าเขาจะไม่ผละจากตรงนั้นไปแม้แต่ก้าวเดียว  เธอก็ปักผ้าต่อไปได้อย่างสงบ.
            ฉากรักสุดท้ายที่อู่เฟิ่งกู่ ผ้าปักวิวาห์เสร็จแล้ว โม่เจียงทวงถามว่า เธอยอมไปปักดอกไม้ทั้งหมดที่มีในทุ่งหญ้ากว้างให้เขาหรือยัง
(ตอน19 > https://www.youtube.com/watch?v=qh-CE7Cuei4 นาทีที่ 22:52-26:02)
*เจ้าคือเจ้าชายแห่งโหรวหรัน ข้าเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดาๆคนหนึ่งของเว่ย ระหว่างเรามีช่องห่างที่แยกเรา เหมือนเขาพันลูกแม่น้ำหมื่นสาย
**สำหรับข้า ชอบคือชอบ รักคือรัก ที่เจ้ากังวลใจนั้น สำหรับข้าไม่มีความหมายแม้แต่น้อย  สิ่งที่ข้าอยากรู้คือ เจ้ามีความจริงใจให้ข้าไหม  
*แต่คนในครอบครัวเจ้าคิดแบบเดียวกับเจ้าหรือเปล่า
** ข้าอธิบายให้พวกเขาเข้าใจได้  บอกข้า เจ้ายินยอมไหม 
*เจ้าเคยพูดไม่ใช่หรือ ว่าพวกเจ้าชาวทุ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นขี่ม้าของชายคนหนึ่ง หัวใจของเธอเป็นของ
ชายคนนั้นแล้ว  
โม่เจียงยิ้มออก อุ้มเธอขึ้นหมุนไปร้องตะโกนไปด้วยความดีใจแบบเด็กๆว่า มู่หลันตอบรับข้าแล้วๆ 
** มู่หลัน เจ้าไม่แคร์ว่าข้าเป็นคนโหรวหรันใช่ไหม 
*เจ้าหญิงของเว่ยจะไปแต่งงานกับเจ้าชายของโหรวหรันไม่ใช่หรือ 
** ข้าคิดอะไรได้แล้ว เราจะพบกันอีกเร็วๆนี้แหละ
*เจ้าจะรีบกลับมาใช่ไหม 
** ไม่ใช่ แต่เมื่อเราเห็นหน้ากันครั้งต่อไป เราจะไม่มีวันแยกจากกันอีก.  มู่หลัน ข้าเอามีดเล่มนี้
เป็นพยาน ขอสาบานกับเจ้าว่า ข้าจะพาเจ้าไปในทุ่งหญ้ากว้าง ไปทุกมุม ไปชมดอกไม้ทุกดอก 
*ถ้าอย่างนั้น ต่อไปนี้ทุกครั้งที่ข้ามองดูมีดเล่มนี้ ก็เหมือนได้เห็นหน้าเจ้า 
** เจ้าดูแลตัวเองให้ดีนะ
*เจ้าก็เหมือนกัน 
** ข้าต้องไปล่ะ 
*เดินทางปลอดภัย  มาเร็วๆ
          คำมั่นสัญญา คำบอกรัก คำขอแต่งงาน ระหว่างเธอกับเขา ฝังใจทั้งสองไปตลอดเรื่อง.  ภาพสวรรค์ของโม่เจียงเป็น Leitmotiv ของเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ.  เมื่อสงครามมากีดกั้น เมื่อความคิดถึงโผล่ขึ้นกลางดวงใจ  รักระหว่างรบสุดจะทรมาน  โดยเฉพาะฉากที่เขาต้องฆ่ามู่หลันตามคำสั่งของข่านผู้พ่อที่ต้องการตัดความผูกพันทั้งหลายให้หมดสิ้นลง ให้เขาพิสูจน์ตัวเองว่าเขาดีพอที่จะสืบทอดบัลลังก์ของโหรวหรัน  รู้เช่นนั้นมู่หลันขอให้เขาฆ่าเธอเสีย  “โม่เจียง ถ้าข้าตายแล้ว ข่านเชื่อและไว้วางใจเจ้าอีก ให้เจ้าสืบบัลลังก์ต่อ  เพื่อเจ้าจะให้ประชาชนอยู่อย่างสงบ ยุติสงคราม เช่นนั้นข้าจะตายโดยไม่เสียดายชีวิต...(โม่เจียง) ข้าไม่เคยสนใจบัลลังก์ เจ้ารู้ดี ข้าเพียงต้องการอยู่กับเจ้า พาเจ้าไปเที่ยวทุกมุมของทุ่งหญ้าอันกว้างไกล ไปดูดอกไม้ทุกดอก ..”
(ตอน41 > https://www.youtube.com/watch?v=i_szuczQyRM  นาทีที่ 03:26-08:05)
            และในตอนสุดท้าย(48) สงครามสิ้นสุดลง เว่ยและโหรวหรันจับมือยุติสงคราม จักเป็นพี่น้องกันตลอดไป  โม่เจียงกับมู่หลันในที่สุดจะได้อยู่ด้วยกันและจะไม่แยกจากกันอีก.  โม่เจียงเตือนความทรงจำเธออีกว่า  ข้าจะพาเจ้าไปยังทุกมุมบนทุ่งหญ้ากว้าง ไปดูดอกไม้แต่ละดอก แล้วเจ้าจะปักดอกไม้ทั้งหมดลงบนผ้าไหม... สงครามได้ขัดขวางความฝันแบบนั้นของเรา เดี๋ยวนี้สันติภาพอยู่ที่นี่แล้ว  เจ้าจะยอมไปในทุ่งหญ้ากว้างกับข้าไหม  แต่มู่หลันบอกว่าตอนนี้เธอเป็นแม่ทัพของเว่ย  โม่เจียงบอกว่าไม่สนใจว่าเธอจะเป็นใคร ตำแหน่งอะไร เขารู้เพียงว่า เธอคือคนที่เขารักอย่างลึกซึ้งและจริงใจ. โม่เจียงขอให้มู่หลันไปโหรวหรันกับเขา  มู่หลันบอกว่า ขอคิดดูก่อน ..“ อย่าคิด เราคอยวันนี้มานานมากแล้ว.  มู่หลัน แต่งงานกับข้านะ” (嫁給我 = marry me).  เป็นครั้งแรกในเรื่องที่เจาะจงขอแต่งงานด้วยคำชัดเจน มิใช่แนะให้เข้าใจเหมือนที่ผ่านมาตลอดเรื่อง  มู่หลันพยักหน้า  แต่ทั้งสองยังต้องแยกกันไปอยู่ดี  เธอต้องไปรายงานตัวกับจักรพรรดิทั่วป๋าเทา  ส่วนโม่เจียงก็ต้องกลับไปจัดการบ้านเมืองที่โหรวหรัน.  ทั้งสองจะพบกันในไม่ช้า.
          ให้กำลังใจ  เมื่อมู่หลันเสียใจที่มือเธอชักกระตุกทอผ้าปักผ้าไม่ได้แล้ว (เพราะพิษจากสารย้อมสีเหลืองทอง)  โม่เจียงก็ปลอบใจ  ถ้าทอผ้าปักผ้าไม่ได้ เธอยังทำอะไรอื่นๆได้อีกมาก พวกเราชาวทุ่ง เด็กผู้หญิงเลี้ยงแพะเลี้ยงวัว เด็กผู้หญิงบางคนยังขี่ม้า ยิงธนูได้เลย. แต่ข้าเกิดมาในตระกูลช่างปักดอกไม้ เมื่อเกิดแล้ว ข้าก็ต้องเป็นช่างปัก.  คิดแบบนั้น ชีวิตไม่น่าสนใจ.  เมื่อเจ้าเกิดมา เจ้ากำหนดตัวเองไว้แล้วว่าจะเป็นอะไร หลังจากนั้นก็ไม่เปลี่ยน ไม่คิดจะลองทำอะไรอื่นใด แบบนี้ทำให้พลาดโอกาสดีๆไป  คนภาคกลางเกิดมาในท้องที่หนึ่งในบ้านหลังหนึ่ง ตายก็ยังอยู่ที่เดิม  แต่พวกเราชาวทุ่ง ที่เกิดและที่ตาย บางทีอยู่ไกลกันเป็นพันลี้  ... เราพเนจรและย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆในแต่ละปี ไปมาแล้วในหลายพื้นที่  ได้เห็นภูมิประเทศหลากหลาย  ชีวิตแบบนี้จึงมีความหมาย “( ตอน7)  ...ไม่ได้เป็นช่างทอช่างปัก ไม่สำคัญ.. ท้องฟ้ามิได้ถล่มทลายลงมาไม่ใช่หรือ  เจ้ายังปลูกต้นหม่อนได้ ปลูกต้นหม่อนที่แผ่กิ่งก้านเขียวชะอุ่ม เป็นต้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก เจ้ายังอาจเลี้ยงหนอนไหมที่น่ารักที่สุด..   มู่หลันสบายใจขึ้นมาก แต่ก็บอกว่าณเวลานั้น สิ่งที่สำคัญคือการปักผ้าไหมวิวาห์  เพื่อว่า พ่อของเด็กผู้หญิงจำนวนพันๆหมื่นๆคน ไม่ต้องไปสงคราม.  ผ้าปักไหมผืนเดียวนั้น จะนำสันติภาพมาได้หรือ? โหรวหรันและเว่ย จะทำสงครามกันหรือไม่?  เป็นเรื่องที่พวกผู้ใหญ่เขากำหนดกัน มันอาจไม่เกี่ยวกับผ้าปักวิวาห์เลยก็ได้  แต่ข้าเป็นเพียงหญิงชาวบ้านตัวเล็กๆคนหนึ่ง สิ่งเดียวที่ข้าทำได้ คือการทอผ้าปักผ้า.  สิ่งที่ข้าทำเพื่อเว่ยได้ก็มีเพียงสิ่งเล็กน้อยนี้เท่านี้  ดังนั้นข้าต้องทำให้ดีที่สุด  แต่ตอนนี้ แม้สิ่งเล็กน้อยสิ่งนี้ ข้าก็ทำไม่ได้แล้ว. โม่เจียงหมดคำพูด เลยชวนไปขี่ม้าเที่ยวให้สบายใจขึ้น (ฉากที่นำมาให้ดูในตอนต้น).  มู่หลันขอบใจที่เขาให้แง่คิดใหม่แก่เธอ เปิดตาเปิดใจเธอ. 
           และเมื่อมู่หลันโดนคนของโม่เจียงปาระเบิดที่เป็นควันพิษใส่เธอ ทำให้เธอมองอะไรไม่เห็น โลกทั้งโลกมืดมิดดับลงสำหรับเธอ  โม่เจียงไปเยี่ยมแต่เธอไม่ยอมออกมาพบ ไม่อยากพบใคร พ่อบอกให้เปิดประตูก็ไม่ยอมเปิด.  เขากลับไปเอาซอของเขามานั่งสีตรงลานหน้าห้อง  มู่หลันเปิดประตูตามเสียงดนตรีออกมา  เขากระตุ้นให้มู่หลันมองโลกจากเสียงดนตรี  มู่หลันเริ่มเข้าใจว่า แม้จะมองไม่เห็น แต่เธอรู้สึกได้ เห็นนกในต้นไม้  โม่เจียงถามอีกว่า นกสีสวยไหม เธอบอกว่าสวยมาก มีห้าสี  เธอได้ยินเสียงน้ำไหลในลำธาร  ดนตรีช่วยทำให้เธอมองเห็นทิวทัศน์เหล่านั้น  โม่เจียงบอกว่าถ้าเธอชอบ จะไปสีซอให้เธอฟังทุกวัน  มู่หลันดีใจพูดว่า “ งั้นก็ดีน่ะสิ แต่วันหนึ่ง เจ้าก็ต้องจากไป เพราะเจ้าไม่ใช่คนที่นี่. ไม่เป็นไร ตอนนี้ดนตรีของเจ้าทำให้ใจข้าสงบลงไปมาก  ข้าขอบใจมาก”
(ตอน10 > https://www.youtube.com/watch?v=68KHpRDhCm4  นาทีที่ 08:06-11:20 )
          ความสัมพันธ์ของทั้งสองในครึ่งแรกเป็นแบบกันเอง จริงใจในสายตาและการรับรู้ของพ่อของมู่หลัน  เป็นมิตรภาพที่สวยงาม.  การถ่ายทอดความรู้สึกของกันและกันสามารถทำได้เต็มพิกัด ด้วยการจับมือเท่านั้น.  ความรักที่ลุ่มลึกไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดใด ดังในตอน 9 (มู่หลันไปเยี่ยมเขาในคุก  แม่ทัพเซี่ยสงสัยว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของหัวหน้าทีมปักไหมที่เป็นแม่ของฝูหลิง)  โม่เจียงขออนุญาต “ดู” มือมู่หลันเมื่อรู้ว่ามือเธอหายจากการเป็นโรคชักกะตุกแล้ว  หนุ่มสาวจับมือกัน มีซี่ไม้ของกรงห้องขังขั้นตรงกลาง  ถ่ายทอดความรู้สึกถึงกันในความเงียบ  สองหัวใจต่อติดกันและกัน.  เป็นฉากรักที่อ่อนโยนและงดงามมาก. มือทั้งสองของโม่เจียงกุมมือขวาของมู่หลันไว้อย่างทะนุถนอม  ความรักจากหัวใจของโม่เจียงรวมกันที่มือ ตรงเข้าถึงกลางใจของมู่หลัน. มู่หลันรับรู้คลื่นความรู้สึกนั้น.
(ตอน 9 > https://www.youtube.com/watch?v=ObYRKiiN044  นาทีที่ 12:46-16:56)
ดนตรีที่ใช้ในฉากนี้  เป็นดนตรีที่จะได้ยินเสมอ เหมือนเจาะจงให้รู้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นจุดพลิกผันของเนื้อเรื่อง  และโดยเฉพาะระหว่างมู่หลันและตัวหลุน.   
ให้สังเกตว่าในตอน1 เมื่อพบกันครั้งแรก  ม้าขาวสลัดตัวมู่หลันตกลงที่พื้นหลายครั้ง  มู่หลันเจ็บตัว โม่เจียงคุกเข่าอยู่ข้างหลัง มือยังไม่กล้าไปประคองตัวเพื่อช่วยเธอให้ลุกจากพื้น.  เพื่อนๆช่างปักผ้าด้วยกัน เป็นผู้มาประคองตัวมู่หลันไปหาหมอ.
            ในตอน15 มู่หลันขอให้โม่เจียง “ดี” กับฝูหลิงมากขึ้น เพราะฝูหลิงใจลอย ไม่เป็นอันปักผ้า เธอรู้ว่าฝูหลิงหลงรักเขา เธอขอให้เขาชอบฝูหลิงมากขึ้นเพื่อให้เธอมีกำลังใจในการผ้าปักไหมวิวาห์จนเสร็จ. โม่เจียงโกรธมาก เขาบอกว่าเขาดีต่อฝูหลิงอยู่แล้ว แต่ไม่มีความรู้สึกพิเศษใดให้ฝูหลิง  และต่อว่ามู่หลันที่มาย่ำยีความรู้สึกของเขาทั้งๆที่รู้ว่าเขาชอบเธอ  เธอไม่ชอบเขา เป็นเรื่องของเธอ  เขาชอบเธอ เป็นเรื่องของเขา  ความรู้สึกของเขาสำคัญต่อเขาเหมือนที่ผ้าปักวิวาห์สำคัญสำหรับเธอ. การมาขอให้เขาเสแสร้งทำเป็นชอบฝูหลิงนั้น  มันหยามน้ำใจกัน.
(https://www.youtube.com/watch?v=mbLczBOtVUo  นาทีที่ 06:34-08:54)
             และเมื่อขบวนเจ้าหญิงจากเว่ยเข้าพรมแดนโหรวหรัน  โม่เจียงไปคอยขบวนอยู่บนเนิน ใบหน้าแสนสุข นึกเห็นหน้าว่าเมื่อมู่หลันเห็นเขาที่นั่น เธอจะดีใจเพียงใด.
หน้าเศร้าเมื่อพบว่าเจ้าสาวที่ส่งมาจากเว่ยไม่ใช่มู่หลัน (ตอน20)  
(https://www.youtube.com/watch?v=409x-vgnM4Y  นาทีที่ 20:20-27:05)
ความรู้สึกสะเทือนใจชัดเจน ต้องใจแข็งตัดความรักของคนที่ตนไม่รัก (ตอน23)
ในตอน 31 ฉากรบประจันบานกันระหว่างสองกองทัพ  แม่ทัพเซี่ยนำทัพหวังจะเข้าตีเมืองเซิ่งเล่อที่ตัวหลุนยึดอยู่ในยามกลางคืน  เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างมู่หลันกับตัวหลุนโดยมิได้คาดคิดกันมาก่อน  มู่หลันเห็นตัวหลุนขี่ม้านำทหารมา  เธอยกคันธนูยิงไป  แต่ในหนึ่งเสี้ยวนาทีนั้น เธอเบนคันธนูลง ลูกธนูไปถูกขาม้าของตัวหลุน  ทั้งม้าทั้งคนล้มลง  ตัวหลุนลุกขึ้นวิ่งตรงไปยังผู้ยิงหมายจะฆ่าฟันทหารคนนั้น  มีทหารยิงธนูไปถูกมู่หลันล้มลง  เขากำลังยกดาบจะฟันซ้ำลงตามวิธีการศึกว่าไม่มีการไว้ชีวิตทหารในสนามรบ (เพราะตราบใดที่ยังไม่ตาย ทหารบาดเจ็บลุกขึ้นทำร้ายได้อีก)  เขาตกใจเมื่อเห็นหน้ามู่หลัน  มู่หลันเห็นหน้าตัวหลุน บอกให้เขารีบถอยไป เพราะกองกำลังทหารกองใหญ่ของแม่ทัพเซี่ยกำลังเข้ามาจู่โจมเป็นระลอกสอง.  ตัวหลุนยกดาบขึ้นสูง(ทำท่า)ฟันลงบนกลางตัว(เพราะทหารของเขากำลังโห่ว่า ฆ่ามัน!)  แม่ทัพเซี่ยมาอุ้มตัวฮวาหูกลับค่าย. ยกเลิกการเข้าจู่โจมเมืองเซิ่งเล่อในคืนนั้น. ทั้งสองฆ่ากันไม่ลง.
( https://www.youtube.com/watch?v=_IIn1XWtTlM  นาทีที่ 05:50-07:31)

ในเรื่องนี้มือกับนิ้วเป็นเครื่องมือเดียวของการแสดงความรู้สึก แน่นอนเป็นเครื่องมือของงการปักผ้าด้วย  เจาะจงไว้หลายครั้งหลายคราในหนังชุดนี้ว่า  หากอยากรู้ว่าใครปักผ้าสวยหรือไม่ ต้องดูที่มือของคนนั้น.  นอกจากมือ การแสดงความรักความรู้สึกต่อกันอยู่ที่สีหน้าและแววตา.  ดาราชายที่รับบทในเรื่องนี้มีใบหน้า แนวเส้นขององค์ประกอบหน้าตั้งแต่แก้มถึงคาง จมูก ปาก รวมกันเป็นใบหน้าที่อ่อนโยนผิดลักษณะสามัญของคนจีนจากแผ่นดินใหญ่  เขาสามารถใช้ทั้งกล้ามเนื้อบนใบหน้า ทั้งเปลี่ยนสีบนหน้าให้เข้ากับอารมณ์ บวกกับพลังสายตาที่แน่วแน่  นิ่งนาน  ตามองตรง ไม่กระพริบ หรือตายิ้มพรายเมื่อหยอกเย้ามู่หลัน.  ใบหน้าดังกล่าวเป็น “คุณสมบัติเด่นที่สุด” ที่สะท้อนความรู้สึกภายในของเขาได้ดีกว่าคำพูดใดๆ ทั้งในยามล้อเล่น ในยามจริงจัง ในยามโกรธ สมบทบาทของคนที่ มีจุดอ่อนตรงหัวใจ ( 多情 คือใจอ่อน, มีอารมณ์อ่อนไหว. ตอน7)  หรือเป็น“คนกระดูกแข็งแต่ใจอ่อน”(ตอน32)  
ในยามเศร้าเสียใจ ใบหน้าหม่นหมองของผู้ใหญ่ที่ผ่านชีวิตที่โชกโชนมา เป็นอีกฉากหนึ่งที่ประทับใจ (ตอน 46) เมื่อตัวหลุนมาหยุดยืนหน้าหลุมศพของแม่ทัพเซี่ย  พึมพำว่า เขาได้เสียเพื่อนที่ดีที่สุดไปและเสียคู่ต่อสู่ที่เก่งที่สุด.  เมื่อเห็นผ้าปักไหมรูปเค้าหน้าของแม่ทัพเซี่ย  และมู่หลันบอกว่า เธอปักรูปนั้นเอง (การที่ชายใดเก็บผ้าปักของหญิงใดติดตัว บอกให้รู้ว่า เขามีความรู้สึกพิเศษกับหญิงคนนั้น) เขาพึมพำว่า เซี่ยจีเฉิง  ข้าตัวหลุน ข้าแพ้เจ้า ด้วยความเต็มใจ ( 多輪输给你 心服囗服 ) การที่ตัวหลุนเปลี่ยนจากการเรียกว่า “แม่ทัพเซี่ย” ที่ใช้เป็นประจำ มาเป็นเรียกชื่อเต็มของแม่ทัพ คือการกะเทาะเกราะสังคม ยศฐาบันดาศักดิ์ของแม่ทัพ และพิจารณาตัวตนที่แท้จริง ความเป็นคน ความเป็นเอกบุคคลและหัวใจของแม่ทัพ  เป็นปฏิกิริยาของผู้ดี รู้จักเคารพความรู้สึกและความเป็นมนุษย์ของเขา.   
และเมื่อคิดถึงเฮอหง(ลูกสาวของจินฉันจื่อ มหาอำมาตย์ของโหรวหรัน เติบโตมากับตัวหลุน  จินฉันจื่อเป็นครูสอนยุทธวิธีแก่ตัวหลุน) ที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อเขา ช่วยเขาให้พ้นจากเงื่อมมือพ่อของเธอด้วยความรักเต็มหัวใจ.  เขารู้สึกเสียใจที่บางครั้งรำคาญเธอ ที่เขาไม่เคยสนใจเธอมากไปกว่าน้องสาว.  มู่หลันบอกว่า เมื่อมองดูผิวเผิน เฮอหงเหมือนเด็กที่ถูกตามใจ พูดจาไม่กลัวใครตามประสา สตรีพันชั่ง แต่ในความเป็นจริง เธอเป็นคนน่าสงสาร เป็นเด็กที่ขาดความรัก  พ่อเธอใช้เธอเป็นเครื่องมือไต่เต้าสู่ที่สูง แต่เธอยังโชคดีที่สามารถตายเพื่อคนรักของเธอ.  ตัวหลุนได้แต่หวังว่าชีวิตในภพต่อไป เธอจะพบชายที่รักเธอ ถนอมเธอ รู้ค่าเธอ มีความเคารพและความรักให้แก่กัน และมีความสุขด้วยกัน.
(ตอน 46 à https://www.youtube.com/watch?v=gnFkl_sbaEg   นาทีที่ 28:08-31:23)

         รายละเอียดอีกหนึ่งที่ประทับใจคือเมื่อเขาต้องสู้กับทหารของโหรวหรัน ตอนที่เขาช่วยให้มู่หลันหนีไปได้ในวันที่เขาจะต้องประหารชีวิตมู่หลันตามคำสั่งของข่านผู้พ่อ (ตอน 42) ถูกล้อมด้วยทหารของโหรวหรันที่มาในขบวนของข่าน. ในฐานะนักรบมือเยี่ยมของโหรวหรัน การต่อสู้อาจทำให้เขาฆ่าทหารฝ่ายเขาเองได้  วิธีที่คาดไม่ถึงคือ เขาใช้ดาบฟาดด้ามหอก ตัดส่วนปลายของหอกที่เป็นเหล็กแหลมคมทิ้ง และใช้ไม้ด้ามยาวที่เหลือต่อสู้กับทหารของโหรวหรัน.  เขาสู้กับทหารของข่านเพียงเพื่อถ่วงเวลาให้มู่หลันหนีไปไกลๆก่อน แล้วก็ยอมให้จับแต่โดยดี.  นอกจากนี้ ความเป็นคนเข้มแข็งและมีจิตใจผู้ดีของเขายังดูได้จากการที่เขาไม่เคยพูดกล่าวโทษอู่ตี้พี่ชาย เมื่อถูกพี่ใส่ร้าย เอาความดีความชอบใส่ตัว. ทุกครั้งที่ถูกกลั่นแกล้ง แม้จะเสียใจก็มักยอมรับไม่โต้แย้ง เมื่อเห็นว่า ตนอยู่ในสภาพเสียเปรียบในเมื่อจินฉันจื่อและข่านเห็นพ้องต้องกันและเมื่อข่านตัดสินใจให้เป็นไปตามนั้น เขาก็ยอมรับคำสั่งของข่านผู้พ่อ แล้วคิดหาทางอื่นต่อไป.
            ผู้กำกับหนังชุดนี้คงได้เห็นศักยภาพและความสมจริงของสีหน้าและแววตาในการสื่อความรู้สึกภายในของนักแสดงชายคนนี้  ทำให้การถ่ายทำมีภาพ close-up หน้าทั้งหน้าเต็มจอของนักแสดงคนนี้เสมอ และฝังอารมณ์ไหวอันประณีตของเขาลงกลางใจผู้ดู.  เมื่อเทียบกับดาราหญิง การแสดงความรู้สึกภายในใจของเธอด้อยกว่า  บางตอนไม่สมจริงหรือเกินจริง(เช่นฉากไฟไหม้)  ใบหน้าผัดแป้งหนา แต่งหน้าสวยเสมอ ปิดบังสีหน้าและสีแก้มที่ปกติเปลี่ยนไปตามอารมณ์  ต้องอาศัยการบิดเบี้ยวของใบหน้าเช่นขวดคิ้ว เม้มปาก ยิ้มหรือกิริยาท่าทางอื่นๆ เพื่อช่วยเจาะจงความรู้สึกภายใน.  
            มือ นิ้ว เป็นเครื่องมือสำคัญที่เชื่อมตัวตนของคนภายในกับโลกภายนอก. พลังของมือโดยเฉพาะของศิลปิน รวมความคิดและปัญญาจากสมองเข้ากับความฝันและอุดมการณ์ของจิตวิญญาณ พุ่งผ่านมือและนิ้วออกจากตัวไปยังผ้าไหม หินอ่อนหรือผืนผ้าใบ.  ผลที่ออกมาจึงเกือบพูดได้ว่าเป็นสิ่ง “อรูปะ”  immaterial เพราะอานุภาพของมัน ที่ได้หลอมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพลังจักรวาล. ในมุมมองนี้เองที่พูดกันว่า งานศิลป์ชั้นครูเป็นสิ่งที่ไม่ตาย เพราะมันหลุดพ้นจากกรอบที่จำกัดมันไว้แล้วนั่นเอง.
           การจับมือถ่ายทอดความรู้สึกถึงกัน จึงเป็นคลื่นความถี่รุนแรง(in situ)  การถูกเนื้อต้องตัวกันในปฏิสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงในสมัยใหม่ มิได้เก็บมิติความประณีตของจิตใจไว้ นอกจากปฏิกิริยาชีวเคมีของสิ่งมีชีวิตเพศตรงข้ามกัน  โชคดีที่คนมีความทรงจำทั้งของผัสสะและของปัญญาที่เป็นสะพานเชื่อมทุกปฏิกิริยาของคนและเจาะจงความรู้สึกในเวลาต่อมา (ไม่ใช่ on the spot) .  บางทีก็หยุดอยู่ที่แค่การเสพกามารมณ์เท่านั้น.  นี่คือปรากฏการณ์ในสังคมปัจจุบัน ที่ความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาว เบนไปสู่การเสพกามารมณ์เป็นสำคัญ  นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกิดความต้องการยาเร่งความต้องการทางเพศอย่างไวอากราที่มีให้แล้วทั้งผู้หญิงและผู้ชาย.  ถ้าการแสดงความรักของพระเอกนางเอกในเรื่องนี้ กระตุ้นหนุ่มสาวสมัยใหม่ไปในทางเดียวกันได้ ก็จะดีไม่น้อย  เชื่อว่าความตื้นตันแบบนี้ ให้โอกาสสัมผัสความลึกล้ำในจิตใจตนเองและของคนที่รักกัน  นำทางไปสู่การเข้าใจความรักความรู้สึกของคนอื่นๆในวงกว้างต่อไป  ทำให้เกิดสังคมที่คนรักเข้าใจและเห็นใจกันมากขึ้น.  ชีวิตคู่จะยั่งยืนและสังคมจะฝ่าวิกฤตทุกชนิดไปได้.
            นักแสดงชายคนนี้มีมือและนิ้วงาม ที่แสดงทั้งความอ่อนโยนและความเข้มแข็ง(เช่นท่ามือในยามต่อสู้)  แม้กระทั่งจังหวะมือและนิ้ว วิธีแตะม้าก่อนขึ้นหรือลงในตอนต่างๆ ลูบม้าหรือเคาะเบาๆลงตรงคอม้าก่อนบอกให้มู่หลันปีนขึ้นไปนั่ง.  ท่าขี่ม้า ลงม้า คล่องแคล่ว หรือตอนเขาปราบม้าพยศ(ตอน28)
ในตอน 15  ม้าขาวของเขาที่เขามอบให้แม่ทัพเซี่ยไป ได้มาช่วยเขาเมื่อเขาถูกสมุนของจินฉันจื่อจับมัดไว้ในเกวียน เอาสินค้าอื่นๆวางปิดซ่อนจากสายตาคนอื่น  เมื่อแม่ทัพเซี่ยขี่ม้าขาวผ่านมา หยุดซักถามขบวนพ่อค้ากลุ่มนี้ว่าจะออกเดินทางกลางคืนอย่างนั้นหรือ  ถามทหารว่าได้ตรวจเกวียนเรียบร้อยแล้วใช่ไหม เมื่อไม่เห็นอะไรผิดสังเกต แม่ทัพบอกอนุญาตให้ปล่อยเกวียนผ่านกำแพงเมืองออกไป  แต่ม้าขาวของแม่ทัพไม่ยอมเดิน เข้าไปใกล้เกวียนที่โม่เจียงถูกมัดซ่อนอยู่ข้างใน (ม้าขาวแสดงได้ดีมาก)  ในที่สุดแม่ทัพสั่งให้ค้นเกวียนอีก ช่วยโม่เจียงออกมาได้ และโม่เจียงคว้าดาบกระโดดขึ้นบนม้าขาว ควบไปยังอาคารปักผ้า เขาแน่ใจแล้วว่าคนร้ายจะยิงธนูจากห้องในโรงเตี๊ยมตรงเข้าไปในอาคารทอผ้าที่มู่หลันยังนั่งปักผ้าอยู่.  ลูกธนูถูกปล่อยออกไปแล้ว เขาเห็นมันพุ่งแหวกหวือไปในท้องฟ้า  ปฏิกิริยาฉับพลันคือขว้างดาบขึ้นไปในทิศทางของธนู โดนลูกธนูนิดหนึ่ง ที่ส่งผลให้เบนออกจากเป้าหมาย(หัวของมู่หลัน)ไปได้.   ความเป็นไปได้เกือบศูนย์  สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปาฏิหาริย์ ไม่น่าเชื่อ แต่คงไม่มีวิธีไหนดีกว่าการสร้างฉากตามนี้. ระทึกใจทีเดียว. ทั้งหมดนี้รวมกันเป็นบทบาท ชายอกสามศอกของเจ้าชายของชนเผ่าขี่ม้า ที่เร่ร่อนไปในทุ่งหญ้ากว้าง คู่ขนานไปกับความอ่อนโยนของจิดใจ เพราะเมื่ออยู่กับผ้าไหม เขาเอื้อมมือไปแตะผ้าปักไหมวิวาห์ทั้งผืนอย่างเบามือ แทบมิได้จับผ้าเลย  ตรงข้ามกับความเด็ดขาดในยามวิกฤตหรือในสนามรบ.
(ตอน16 > https://www.youtube.com/watch?v=RZh7wyale5M  นาทีที่ 22:30-24:49) 
รายละเอียดจากท่าทางการแสดงของเขาเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ บวกอากัปกิริยาที่ดูเป็นธรรมชาติเหมือนเป็นตัวของตัวเอง  เป็นสิ่งที่แสดงความอ่อนโยนภายในตัวตนคนนี้ได้ดีที่สุด. ไม่เห็นบ่อยนักในหมู่ดาราชายเอเชียหรือฝรั่งคนใด.  ถ้านี่เป็น “การแสดง”  พูดได้ว่า “แสดงเก่ง”. ถ้านี่เป็นผลของการกำกับ การแสดง ก็ต้องพูดว่า “กำกับเก่ง” คนเขียนบทที่บันทึกรายละเอียดเพียบแบบนี้ ก็เก่งเช่นกัน.
            เครื่องแต่งกายในเรื่องนี้ ปิดร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้า หลายชั้น หนาและน่าจะหนัก ไม่เหลือส่วนใดนอกร่มผ้า  มีแต่มือกับใบหน้า (ในยุคนั้น ไม่น่าจะเอาแก้มชนกันได้) แม้ในฉากที่พระเอกอุ้มตัวนางเอกหมุนไปมาเหมือนอุ้มเด็กคนหนึ่ง(ตอน19) ก็มิได้ถูกเนื้อต้องตัวกันเลย.  ฉากแสดงความรักในเรื่องนี้ต้องผ่านที่มือเท่านั้น ดังที่เห็นในตอน 9 ที่เป็นความงามและความสำเร็จของการถ่ายทำ.  แม้ในฉากโอบกอดกัน(ตอน16, 19, 44, 48) ความรู้สึกอยู่ที่ใบหน้า มิได้มีเรื่องการถูกเนื้อต้องตัวกัน.ในบริบทอื่นๆ ต้องอาศัยสัมผัสอื่นเช่นการลูบไล้ผ้าไหม (โม่เจียงลูบไล้เสื้อคลุมสีเขียวของเขาที่เป็นองค์ประกอบหนึ่งในฉากในเต๊นต์ของเขา -ตอน 4, 5, 26, 28, 31) หรือเสียงซอ(ตอน10,18,31,33) เพื่อยืดและยึดความรักความผูกพันต่อไปจนจบเรื่อง.  อีกประการหนึ่งความสูงของดาราชาย (ยืนยันว่า187cm.) กับของดาราหญิง(สูงไม่เกิน 155 cm.) ก็ทำให้โอกาสจะถูกเนื้อต้องตัวกันมากไปกว่ามือนั้นลดลง  นางเอกตัวเตี้ยเกินกว่าที่ทั้งคู่จะมีโอกาสใกล้ชิดเฉียดๆหน้ากัน  ทำให้ต้องจัดตำแหน่งยืนห่างกันออกไปหรือเยื้องหน้าหลังกันเมื่อถ่ายทำสองคนนี้ในฉากเดียวกัน  หากยืนเคียงข้างกันเป็นหน้ากระดาน ชัดเจนพระเอกหลังโค้งลงโดยอัตโนมัติ.  ตัวละครในเรื่องนี้ตัวเตี้ยกว่าเขาทุกคน. 
            ความเป็นคนที่ “มีหัวใจ” ก็สอดคล้องกับประเด็นการสีซอของพระเอก  รู้จักใช้ดนตรีกล่อมปัดเป่าความทุกข์ของมู่หลันที่ตาบอดมองไม่เห็น.  เสียงซอทำให้เธอจินตนาการธรรมชาติ. อาจต้องพูดนิดหน่อยว่าดนตรีจากซอที่ได้ยินในเรื่อง มิได้มีอานุภาพสะเทือนใจเท่าที่เราหวัง เพราะศักยภาพของเครื่องดนตรีที่มี musical range ค่อนข้างจำกัด.
(ตอน10 > https://www.youtube.com/watch?v=68KHpRDhCm4  นาทีที่ 08:05-11:21)

ซอในเรื่องนี้เหมือน morin khuur เครื่องดนตรีพื้นบ้านของชาวมงโกล морин хуур  头琴  แต่เครื่องดนตรีที่ใช้ในหนังชุดนี้เจาะจงว่า มีหัวหมาป่าประดับแทนหัวม้าของชาวมงโกล หรือ wolfhead zither แม่ทัพเซี่ยเจาะจงว่าเป็นซอที่ชาวโหรวหรันนิยมมากที่สุด มีสองสาย.  อย่างไรก็ดี การใช้เสียงซอเข้ามาเป็นหนึ่งใน leitmotiv ของหนังชุดนี้ สร้างอีกหนึ่งประเด็นเด่นแก่เรื่อง. เสียงซอจะฝังใจเธอไม่ลืมเลือน  เมื่อได้ยินในค่ายทหารของเขา(ตอน27) หรือได้ยินโชยมากับลมจากค่ายฝั่งตรงข้าม  เธอรู้ว่านั่นคือโม่เจียง รู้ว่าเขาคิดถึงเธอ (ตอน 23,31,32)  ดนตรีเชื่อมหัวใจคนรักกัน ทอดเป็นคลื่นสะเทือนใจเหนือสนามรบ. ฉากที่พระเอกไปสีซอบนกำแพงเมืองเซิ่งเล่อ เป็นความงามและความสำเร็จอีกฉากหนึ่ง.  เสียดสีแทรกไปในความสงบก่อนพายุ.  คนดูคิดทวนคำถามว่ารบกันทำไม เพื่ออะไร เพื่อใคร.
(ดูตอนนี้ได้จากลิงค์นี้  https://www.youtube.com/watch?v=_IIn1XWtTlM  ตอน31 ตั้งแต่นาทีที่ 38:47 ไปจนจบ)  
             ความทรงจำของผัสสะไม่เลือนหาย  จากมือสัมผัส จากสายตาที่เปี่ยมด้วยความรู้สึก จากเสียงซอ... ช่วยร่นเวลาและร่นพื้นที่ที่แยกคนรักสองคน  เชื่อมหัวใจของคนรักและประสานติดต่อเป็นเนื้อเดียวกัน เหมือนผ้าปักไหมวิวาห์ ที่มู่หลันสามารถปักเชื่อมต่อทั้งสี่ฤดูโดยไร้ตะเข็บ ด้วยฝีมือและปัญญา  ความรักจึงคงอยู่ ที่วันเวลามิอาจทำลาย เหมือนถ่านก้อนหนึ่งที่ยังมิได้ดับลง จุดเมื่อใดก็ลุกโพลงได้. จากอีกมุมมองหนึ่ง โม่เจียงดูเหมือนจะผูกพันกับความรู้สึกของเขาเอง มากกว่ากับความรู้สึกของมู่หลันที่มีต่อเขาด้วยซ้ำ.  อาจเป็นเพราะชีวิตพเนจรของชาวโหรวหรัน ได้ผ่านไปหลายพื้นที่ดังที่เขาพูดไว้(ในตอน7)  ท่ามกลางธรรมชาติ สายลม แสงแดด แต่เมื่อได้สัมผัสความงามของศิลปะผ้าไหม เขาก็ชอบและรู้ค่าของมัน. ความชอบนี้ตรงกับความอ่อนโยนในธรรมชาตินิสัยของเขาเองและเมื่อได้เห็นความไม่ย่อท้อของมู่หลัน ซึ่งก็ตรงกับเลือดนักสู้ของเจ้าชายโพรวหรัน รวมกันสะท้อนให้เห็นภาพสวรรค์ที่เขาพร่ำพูดถึง.  สวรรค์ของโม่เจียงรวมวิญญาณอิสระเสรีของชาวทุ่งกับวิญญาณประณีตของช่างศิลป์ ดังที่เขาตอกย้ำกับมู่หลันว่าเธอต้องปักดอกไม้แต่ละดอกลงบนผืนผ้าไหมให้เขา. ความรักคงอยู่ ผ่านกาลเวลามานาน เพราะจิตวิญญาณเขาไม่เปลี่ยนแปลง เพราะความฝันของเขายังเหมือนเดิม.  และแม้เขาจะเห็นว่าสงครามได้เปลี่ยนมู่หลันที่เดิมเป็นเพียงช่างปักผ้าจากอาณาจักรกลาง มาเหมือนหญิงชาวโหรวหรันที่กล้าเสี่ยงกล้าทำทุกอย่าง กลายเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัว เป็นนักรบที่โหดเหี้ยม แต่แม้ว่าเธอจะเปลี่ยนไปอย่างนี้ เขาก็ไม่ลืมเธอ ไม่ลืมความกล้าหาญ ความมุ่งมั่นและการอุทิศชีวิตเพื่อชาติของเธอ(ตอน32)  เขายังมองทะลุเธอคนที่เป็นฮวาหูในสนามรบ ทะลุเสื้อเกราะไปเห็นชุดผู้หญิงที่เธอเคยสวมที่อู่เฟิ่งกู่ ไปยังความฝันที่เขายังไม่ยอมปล่อยวาง.
           ปกติในนวนิยาย ฝ่ายหญิงเป็นคน “อ่อนแอ  เจ้าน้ำตา อาลัยอาวรณ์  ขี้ซึ้ง ขี้แย”  น้อยนักที่ฝ่ายชายจะเป็นเช่นนั้น (โม่เจียงเอง เคยบอกแม่ทัพว่า มู่หลันเป็นกล้า ใจแกร่งกว่าเขามาก-ตอน16).   เรื่องนี้ทวนกระแสการสร้างอุปนิสัยของตัวละครทั่วไปในเอเชีย  เพราะในตะวันตก ความเป็นคนละเอียดอ่อน มีอารมณ์สะเทือน ไม่ใช่ “จุดอ่อน” กลับเป็น “จุดแข็ง”  ที่เป็นกระดานกระโดดสู่การสร้างสรรค์สารพัดชนิด  ไม่รู้ว่าผู้เขียนบทมองจุดนี้เช่นใด  ต้องการสร้างตัวพระเอกเป็น“ คนใจอ่อน” เพื่อยกระดับความใจแข็งของนางเอกให้เข้ากับบทบาทชายที่เธอสวมรอยอยู่เท่านั้นหรือไม่ ?  เพราะตัวละครอื่นๆในเรื่องโดยเฉพาะตัวละครฝ่ายโหรวหรันมี “ความแข็ง” ภายนอกแบบปกติของผู้ชายอกสามศอกตะวันออก.  สำหรับข้าพเจ้า ได้เห็นความอ่อนในความเป็นผู้ชายจากพระเอกในเรื่องนี้ ชอบใจมาก... ทัวป๋าเซ่า(ตอน29) บ่นพึมพำว่า เจ้าชายแบบไหนกันที่ทำทุกอย่างเพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง  แล้วอย่างนี้จะเป็นกษัตริย์ได้อย่างไร  คำพูดนี้ยังแนะให้คิดว่าจุดยืนของสังคมจีนยังไม่เปลี่ยนแปลง.  การมีใจอ่อน เห็นใจ เข้าใจความทุกข์ของคนอื่น มิได้หมายความว่า เป็นคนอ่อนแอเสมอไป  ความรักความผูกพันอาจทำให้เขาไม่อยากใช้กำลังเอาชนะฮวาหูที่เป็นคู่ศึก  ถึงเอาชนะได้ ก็มิใช่เพื่อฆ่าคู่ต่อสู้.
            ตอนศึกเมืองเซิ่งเล่อที่เขามายึดไว้ได้ คอยกองทัพหนุนจากอู่ตี้เจ้าชายองค์โตเพื่อจะยึดเมืองอื่นต่อไป  แต่อู่ตี้ไม่คิดจะช่วยเขา ต้องการให้ตัวหลุนแพ้ ให้ตัวหลุนเสียหน้า เพื่อว่าตัวเองจะได้ยกทัพมาปราบ เอาความดีความชอบไป  ตัวหลุนรู้ว่าตราบใดที่เขายึดมั่นอยู่ภายในกำแพงเมืองที่มั่นคงไร้ช่องโหว่ของเซิ่งเล่อได้  กองทัพของเว่ยจะเข้าตีเมืองเซิ่งเล่อคืนไม่ได้.  ฝ่ายเว่ยหาทางบุกจู่โจมในตอนกลางคืน แต่ก็ไม่สำเร็จ ฮวาหูถูกยิง. ฝ่ายเว่ยส่งคนมาเยาะเย้ยท้าให้ออกจากเมืองไปสู้กันในทุ่ง  ตัวหลุนรู้ว่านั่นเป็นกลอุบาย เขารู้ยุทธวิธี คิดการณ์รอบคอบ รู้จักข่มความรู้สึกเช่นยามถูกสบประมาท เพื่อรักษาเมืองต่อไป ทางที่ดีที่สุดคอยจนกว่ากองทัพหนุนมา (เขารู้ว่าพี่ชายอิจฉาเขาที่ข่านผู้พ่อรักเขามากกว่า แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าพี่เขาจะเจตนาให้เขาแพ้ศึก เพราะการศึกนั้นเพื่อชาติ มิใช่เพื่อแข่งกันระหว่างสองพี่น้อง)  เขามั่นใจว่า ยิ่งนาน กองทหารของเว่ยจะอ่อนแรงลงเพราะขาดเสบียง.  ตัวหลุนคาดเดาใจแม่ทัพเซี่ยว่ากำลังเข้าตาจนเพราะไม่มีทางล่อให้ตัวหลุนนำทหารออกไปรบกันนอกเมือง (จักรพรรดิเว่ยสั่งให้แม่ทัพยึดเมืองให้ได้ก่อนที่กองทหารของอู่ตี้จะมาช่วยตัวหลุน)
เมื่อฮวาหูเปิดเผยตัวต่อจักรพรรดิว่าเป็นหญิงและรักกับตัวหลุน เธอเอาความรักของเธอเป็นประกัน  ขอให้จักรพรรดิไว้ใจเขาให้เหมือนที่พระองค์เชื่อใจเธอ  เธอยืนยันว่าไม่มีอะไรจะแยกใจของเขาทั้งสองได้  จักรพรรดิตัดสินใจมอบกองทหารม้าห้าพันคนให้ตัวหลุนไปยึดและปราบกบฏของโหรวหรัน แล้วให้ย้อนกลับมา ตีโอบกองทหารของโหรวหรันที่จินฉันจื่อนำทัพมาหมายจะปราบเว่ย  พร้อมๆกับที่ฮวาหูจะนำทัพตีรุกไปด้านหน้าของกองทหารโหรวหรัน เช่นนี้จินฉันจื่อจะรับมือศึกสองด้านไม่ได้ ตัวหลุนถามจักรพรรดิตรงๆว่า ไม่กลัวเขาจะหักหลังหรือ  จักรพรรดิตอบเพียงว่า ผู้หญิงที่เจ้ารักที่สุด เป็นแม่ทัพใหญ่ของเว่ย (ตอน47)  ตัวหลุนยังขอร้องให้จักรพรรดิเมตตามู่หลัน (เรื่องที่เธอปลอมตัว ใช้ชื่อปลอม หลอกจักรพรรดิและทุกคน ตามอาญาแผ่นดินต้องถูกตัดหัว)  จักรพรรดิบอกว่า เจ้ามองข้าเล็กเกินไปแล้ว” (ในบทภาษาจีนว่า   也太小看我了)
            การต้องขอกำลังทหารจากเว่ย ไม่ใช่ง่ายสำหรับวิสัยเจ้าชาย ถ้าเขาหยิ่งในศักดิ์ศรีของเจ้าชายโหรวหรัน ไม่มีจิตใจเข้มแข็งพอที่จะรู้จักความถ่อมตนปรับตัวตามสภาพการณ์ตรงหน้า  เรื่องคงไม่จบลงง่ายๆ.  การรู้จักเป็น“คนอ่อน” เป็นคุณสมบัติของผู้เข้มแข็ง.  หลายครั้งในหนังชุดนี้ ในสถานการณ์คับขัน ที่เขาอาจใช้กำลังเอาชนะได้ แต่เขารู้จักยอม ไม่ดันทุรังต่อไป(ตอน41) หรือยอมให้จับ.  ต่อมาในฐานะของทหาร เป็นรองแม่ทัพคู่กับฮวาหู  ตัวหลุนก็ไม่หวั่นที่จะกำราบแม่ทัพ เตือนสติเมื่อเห็นเธอมุ่งมั่นจะตีข้าศึกที่เกินกำลังกองทหารของเธอจะรับไหว  คิดเพียงยอมตายดีกว่ายอมแพ้ ในฐานะแม่ทัพ เจ้าต้องควบคุมอารมณ์เจ้า  ต้องนึกถึงชัยชนะที่เป็นเป้าหมายสุดท้าย  ถ้าเจ้าเป็นเพียงทหารคนหนึ่ง เจ้ารุดหน้าไปรบในแนวหน้า  เจ้าทำได้ แต่ตอนนี้เจ้าเป็นแม่ทัพ ต้องมองให้รอบด้าน เมื่อฮวาหูดึงดันไม่ยอมถอย  เขาก็ตวาดใส่เธอ  “การแพ้เป็นส่วนหนึ่งของสงคราม .. เจ้าจะเอาแต่ชัยชนะ ไม่ยอมรับความล้มเหลวนั้น ไม่ถูก.  จะเอาชนะ ต้องเรียนให้รู้จักแพ้ก่อน.  สิ่งสำคัญคือ เจ้าเรียนจากความล้มเหลว จึงจะมีชัยชนะในก้าวต่อไป..(47)  สอนยุทธวิธีการศึกที่สนามรบตรงนั้นเลย.....มู่หลันรู้แพ้ รู้ชนะและรู้อภัย ตรงตามที่พ่อของมู่หลันเคยสอนเธอไว้ที่อู่เฟิ่งกู่ (ตอน15) (ดูที่ วิถีครอบครัว ข้างล่างนี้)

           ความไม่ย่อท้อของมู่หลัน  โดดเด่นตั้งแต่ตอนที่ 1 เมื่อมู่หลันอยากซื้อม้าขาวของโม่เจียงให้พ่อ บอกจะให้ราคาสองเท่า โม่เจียงบอกไม่ขาย  แต่ท้าว่าถ้าเธอขี่ม้าตัวนั้นได้ ถ้ามันยอมเธอ เขาจะยกม้าให้เธอ  มู่หลันกระโดดขึ้นไปบนหลังม้าขาว ที่พาเธอโลดแล่นไป ม้าขาวสลัดเธอตกครั้งแล้วครั้งเล่า (5ครั้ง ม้าขาวแสดงเก่งมากด้วย) ทุกครั้งเธอลุกขึ้นกระโดดขึ้นขี่หลังมันอีก  เจ็บไปทั้งตัว. ให้สังเกตว่าโม่เจียงไม่กล้าแตะตัวเธอ หรือเข้าพยุงเธอให้ลุกจากพื้น  เพื่อนๆตามมาพาไปหาหมอหลัว.  ความไม่ย่อท้อนี้ทำให้โม่เจียงบอกว่า เขาจะหาม้าตัวใหม่ที่ดีกว่านี้ให้เธอ  เธอบอกว่าช้าไปแล้ว เธอต้องการม้าตัวนี้ให้พ่อ เพราะพรุ่งนี้พ่อต้องไปเข้าค่ายเตรียมไปสงคราม  ความรักความห่วงพ่อของเธอทำให้โม่เจียงอึ้งไปเลย.
(ตอน 1 > https://www.youtube.com/watch?v=oQo4RcenHUk  นาทีที่ 35:24-41:00)

ความไม่ย่อท้อของเธอในการฝึกจิตตั้งสมาธิเพื่อปาเข็มไปให้ถูกเป้า ตามกลวิธี “เข็มบิน” ของปาครูเฒ่า (ตอน7และตอน8) การฝึกแบบนี้เองที่ทำให้ระบบประสาทและกล้ามเนื่อแขนและนิ้วหายจากโรคชักกระตุก.  ทักษะที่ได้จากปาครูเฒ่าทำให้เธอกลายเป็นคนแม่นธนู  เธอใช้ทักษะนี้ในสนามรบได้อย่างสมจริง.  การฝึกสมาธิมีคุณประโยชน์มากหลายจริงๆ. ดูตัวอย่างในตอน8
( https://www.youtube.com/watch?v=CA8Lsm_WlVQ  นาทีที่ 19:38-20:52 +
 https://www.youtube.com/watch?v=CA8Lsm_WlVQ  นาทีที่ 35:46-39:51) 
 
ในค่ายทหารก็เช่นกัน ความไม่ย่อท้อฮึดสู้ ก็เป็นที่ประจักษ์เพราะไม่ว่าจะหกล้มหกลุก เดินแบกถุงทรายปีนเขาลงเนิน ล้มกลิ้งลงจากเนิน เธอก็ไม่ยอมละความพยายาม(ตอน25) ความมุ่งมั่นของเธอทำให้ทหารร่วมค่ายยกย่องเธอ ผูกพันช่วยเหลือกันมากขึ้น.  เมื่อออกรบ เธอยังแบกเพื่อนทหารที่บาดเจ็บแต่ยังไม่ตาย เดินกระหย่องกระแหย่งออกจากสนามรบ  ตอนนั้นตัวหลุนมองเห็นจากบนเนิน นึกรู้ว่าเป็นเธอแน่  เขาสั่งถอยทัพแทนการซ้ำเติมกองทหารฝ่ายเว่ยที่แพ้แตกกระจายกลับไป.  ในตอน 44 ทหารในทีมหน่วยกล้าตายของเธอตกตะลึงที่เห็นเธอแต่งตัวเป็นผู้หญิง  เธอประกาศว่า “ ผู้หญิงหรือผู้ชาย ไม่สำคัญ ร่างกายเราทุกคนเป็นทหาร เหมือนเสื้อผ้าที่เราใส่ บางทีเกราะเป็นเสื้อในสนามรบ แต่ปฏิบัติการครั้งพิเศษนี้ ที่ข้าแต่งชุดผู้หญิง เสื้อผ้าพวกนี้ก็เป็นเสื้อผ้าออกรบ ...ข้าเป็นผู้หญิง.. การรับใช้ปกป้องประเทศ ไม่มีการแบ่งแยกหญิงหรือชาย ” 

 วิถีทหาร ผู้กอง(คนขวาในภาพบน) หน่วยกำลังเฉพาะกิจYuchi(迟幢)  นายทหารของก๊กเว่ยที่ฮวาหู/มู่หลันได้เข้าไปอยู่ใต้บังคับบัญชา  เมื่อเห็นท่าทางของฮวาหู  ผู้กองบอกให้เธอไปทำหน้าที่ในครัว แต่ฮวาหูไม่ยอม มุ่งมั่นซ้อมและยืนยันความตั้งใจที่จะเข้าอยู่ในหน่วย 铁血队 (คำแรกแปลว่า “เหล็ก”, คำที่สองแปลว่า “เลือด” คำที่สามแปลว่า “หน่วย,ทีม” รวมกันน่าจะเป็น “หน่วยกล้าตาย” ได้).  หน่วยกล้าตายนี่ประกอบด้วยคนเพียงสิบสองคน เป็นกองกำลังเอลิต(élite) . ผู้ที่เข้าอยู่ในหน่วยนี้ได้ ต้องเป็นคนกล้าหาญ ซื่อตรง และยังต้องมีความสามารถพิเศษในสนามรบ.  เมื่อฮวาหู แสดงให้เห็นว่า เธอมีความสามารถพิเศษในการยิงธนู.  ผู้กองจึงยอมให้เธอเข้าอยู่ในหน่วยนี้.  ฮวาหูได้ใช้ปฏิภาณและการที่เธอมองเห็นชัดเจนในความมืดช่วยงานศึก.  ผู้กองมโนรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิง เพราะเขาเคยออกรบกับฮวาหูพ่อของมู่หลัน และจำได้ว่าฮวาหูมีลูกสาวไม่ใช่ลูกชาย. แต่ทำเป็นไม่รู้.  เขาใช้กฏทหารเข้มงวดกับทุกคนจนทำให้ทุกคนขยาดกลัว. ในความเป็นจริง เขารักลูกน้องทุกคน เขาเก็บหินจากสนามรบมาแทนทหารที่ตายไปแต่ละคนมาฝังลงดินในพิธีศพ  เป็นวิธีของเขาเพื่อสรรเสริญความกล้าหาญของแต่ละคนว่าประดุจหิน. เขาไม่สนใจรางวัลหรือเลื่อนยศใดๆ. เพราะ“ข้าไม่ต้องการหน้า”ไม่เหมือนหัวหน้านายกองคนอื่นๆที่รบเพื่อหน้า ลาภ ยศ สรรเสริญ.  นายทหารคนสนิทเห็นว่าไม่ยุติธรรมที่เขาปล่อยให้หัวหน้านายกองคนอื่นๆแอบอ้างคุณงามความดีความชอบของเขาและได้เลื่อนขั้น.  สำหรับเขา ผู้กล้าหาญจริงๆคือพวกทหารที่สละชีพเพื่อชาติ รบจนตัวตายในสนามรบ.  ต่อมาเมื่อฮวาหูขึ้นเป็นหัวหน้ากองกำลังเฉพาะกิจ เธอก็เก็บหินแต่ละก้อนแทนทหารที่ตายไป ทำตามที่นายกองเคยทำ.  เขาสอนให้กล้าหาญ ในสนามรบ คนไม่กลัวเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอด พวกเจ้าครึ่งหนึ่งอาจไม่ได้กลับบ้าน นับว่าตายไปแล้วก็ว่าได้ ไหนๆจะต้องตาย ก็ให้ตายอย่างวีรบุรุษ...หน้าต้องเผชิญศัตรู คนที่กลัวในสนามรบ จักเป็นคนที่ตายก่อนใคร.  อยู่หรือตายไม่สำคัญ สำคัญคือเมื่ออยู่ ก็อยู่เพื่อชัยชนะ ถ้าต้องตาย ก็ตายด้วยเกียรติและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน.  ก่อนออกรบครั้งสุดท้าย เขาเล่าว่ารู้จักฮวาหูอีกคนหนึ่งในสนามรบเมื่อสิบห้าปีก่อน  ครั้งหนึ่งในสนามรบ ฮวาหูคนนั้นทำร้ายทหารโหรวหรันบาดเจ็บล้มลง  เขามิได้แทงซ้ำ เดินออกจากสนามรบพร้อมนายกอง เป็นสองคนที่รอดตาย(ตอน25)  ทหารคนนั้นลุกขึ้นแทงนายกองจากข้างหลัง  เพราะฮวาหูไม่ได้ฆ่าทหารคนนั้น ทำให้เขามีบาดแผลบนหลังหนึ่งแห่ง  บาดแผลบนตัวของเขาทั้งหมดอยู่ตรงหน้าอก.  เขาต้องการเตือนฮวาหูคนนี้ว่า อย่าพลาดแบบนั้น  ฮวาหูยืนยันจะไม่ทำผิดพลาดแบบเดียวกัน.   นายกองบอกว่าฮวาหูคนนี้ไม่เหมือนฮวาหูที่เขารู้จัก  คนนี้แกร่งกว่าคนนั้น.  ฮวาหูสารภาพว่าฮวาหูที่นายกองรู้จักคือพ่อของเธอเอง.  ศึกวันนั้น เขาถูกยิงด้วยธนูหลายดอกจากทหารฝ่ายโหรวหรัน เพราะเป็นคนสุดท้ายในสนามรบ หลังจากที่ได้สั่งให้กองทหารของเขาถอยทัพกลับ เพราะได้ทำหน้าที่ตามแผนสำเร็จแล้ว.  ก่อนสิ้นใจยังบอกมู่หลันว่า  ฮวาหูมีลูกสาวดี  ฮวาหูร้องไห้โฮ...ฮวาหู เจ้าเป็นทหารดี  เจ้าต้องมีใจเข้มแข็ง ใจที่แข็งกล้าแบบนั้น ไม่เพียงแต่กล้าเมื่อเผชิญหน้าศัตรู บางครั้งต้องกล้าดูเลือดสดๆและชีวิตของเพื่อนร่วมรบให้ได้ (ตอน28)   ต่อให้มีหัวใจแข็งเป็นหิน ไม่ง่ายสำหรับหัวหน้าหน่วยกล้าตายที่รู้ว่าทุกครั้งที่เขานำทหารออกรบเหมือนส่งพวกเขาไปตาย. นายกองเป็นตัวอย่างหนึ่งของทหารที่ควรจะเป็น ปั้นทหารในความรับผิดชอบของเขาในการศึกและในการเอาตัวรอดจากสนามรบด้วยการสยบความกลัว  ด้วยการฝึกฝนเพื่อความชำนาญอย่างไม่ลดละ และไม่เคยลืมความกล้าหาญของพวกเขาที่ช่วยให้ชนะศัตรูและชาติอยู่รอด.



             แม่ทัพเซี่ย ผู้ได้รับคำสั่งจากจักรพรรดิให้ไปอู่เฟิ่งกู่ ควบคุม บริหารและจัดการให้การปักผ้าวิวาห์ให้สำเร็จลงภายในหกเดิอน.  แม่ทัพเซี่ยมีใบหน้าเย็นชา แทบไม่เคยแสดงความรู้สึกใดๆเลย (ยกเว้นในไม่กี่ฉาก เช่นเมื่อหาทางตีเมืองเซิ่งเล่อไม่ได้และเมื่อรู้ว่าฮวาหูจะตายเพราะพิษธนูจากฝ่ายโหรวหรัน ไม่มีวิธีรักษา)  เขาไม่เคยยิ้ม ทำหน้าที่ตรงไปตรงมาตามกฎ  เช่นสั่งให้ตัดหัวมู่หลันเมื่อพบผ้าปักดอกซินอี้ฮวา (magnolia) ที่เธอนำมาแสดงเป็นผลงานในการชิงตำแหน่งช่างปักมือหนึ่งของอู่เฟิ่งกู่  แต่ภาพปักของมู่หลันจริงๆเป็นดอกโบตั๋น เธอถูกกลั่นแกล้ง ถูกมุ่งร้ายให้ตาย. โชคมหันต์ที่มหาอำมาตย์จากจักรพรรดิทั่วป๋าเทา มาทันเหตุการณ์ ประกาศพระราชโองการให้รู้ทั่วกันว่า จักรพรรดิได้ยกเลิกกฎหมายห้ามเรื่องดอกซินอี้ฮวาทั่วทั้งอาณาจักรเว่ย. 
          ที่อู่เฟิ่งกู่  โม่เจียงพูดตรงหน้าแม่ทัพเซี่ยเลยว่า “ท่านแม่ทัพเป็นคนทั้งกล้าหาญทั้งฉลาด ใบหน้าเย็นชา แต่มีจิตใจอบอุ่น ตรงไปตรงมา”  ทั้งสองผู้ถึงการเป็นคู่ต่อสู้ สู้กันด้วยดาบ สู้กันด้วยสติปัญญา. โม่เจียงถามว่าอาวุธชนิดหลังไม่ดีกว่าหรือ?  แม่ทัพเซี่ยตอบว่า ไม่ว่าจะใช้อาวุธชนิดใด ต้องมีความกล้าหาญ.  หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์ต่างๆทั้งดีและร้ายมาในอู่เฟิ่งกู่ด้วยกัน  แม่ทัพท้าโม่เจียงให้สู้กันตัวต่อตัวให้รู้แล้วรู้รอดไป มิให้มีอะไรคาค้างอยู่ในใจระหว่างกัน. โม่เจียงถามว่า จำเป็นหรือ? ในที่สุดตอบรับ สู้กันอย่างสุดฝีมือ ไม่มีใครแพ้ใครชนะ.
(ตอน19 > https://www.youtube.com/watch?v=qh-CE7Cuei4  นาทีที่ 06:58-12:27).)  
 แม่ทัพพูดว่า “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว หรือเรื่องของชาติ ไม่ขอเป็นศัตรูกับเขา”  โม่เจียงก็ตอบว่าเช่นกัน.  แม่ทัพรวบมือคารวะโม่เจียงในฐานะที่รู้แล้วว่า โม่เจียงเป็นเจ้าชาย.  บอกว่าในฐานะที่เป็นเจ้าชายโหรวหรัน กล้ามาบนแผ่นดินเว่ยตามลำพัง  แสดงว่าเขาเป็นคนกล้า.
            โม่เจียงได้เผชิญหน้ากับแม่ทัพเซี่ยบ่อยๆ ได้เตือนอู่ตี้พี่ชายที่ไปเป็นแม่ทัพทำศึกกับฝ่ายเว่ยว่า แม่ทัพเซี่ยมีชื่อว่าไม่เคยแพ้ใคร  ตำแหน่งแม่ทัพของเขาไม่ใช่ไร้ความหมายแน่นอน  อุปนิสัยของเขา นอกจากจะกล้าหาญแล้ว.. แต่ยังมีอีกด้านหน่งที่สงบ นิ่งเงียบและฉลาดสุขุม  มักเตรียมตัวแพ้ก่อนเอาชนะ เขาหาทางออกที่จะหนุนเขาเสมอมา ดังนั้นเมื่อพี่ต้องไปเผชิญหน้ากับเขา  อย่าปล่อยให้ใบหน้าของเขาทำให้พี่หลงผิด และหากคิดว่าพี่ค้นพบจุดอ่อนของเขา ก็ให้รู้ว่า จุดอ่อนของเขานั้นยังคงเป็นไพ่ใบที่เหนือกว่า เป็นไพ่ที่เขาเป็นต่อ...และพวกเราวางแผนยุทธศาสตร์เพื่อยึดเมือง แต่บางคนรู้จักจับหัวใจคน (ตอน 34) 
            การจัดตัวละครสองตัวนี้ให้พบกัน เป็นความสำเร็จและความโดดเด่นของหนังชุดนี้อย่างแท้จริง  ยิ่งกว่าคู่พระเอกกับนางเอกด้วยซ้ำไป.  สองคนที่เป็นทั้งเพื่อนทั้งศัตรู บนความถี่คลื่นเดียวกัน  มีความกล้าหาญเท่าเทียมกัน  เคารพความเป็นหนึ่งของกันและกัน  เดายุทธวิธีและกลเม็ดในการทำศึก หลอกล่อหรือตั้งกับดักศัตรูของกันและกันได้ โดยเฉพาะในครึ่งหลังของหนังชุดนี้.  ทั้งสองเป็นตัวอย่างสุดยอดของความเป็นคน.  การประกบตัวละครแม่ทัพเซี่ยกับตัวหลุนในหนังชุดนี้ เป็นความสำเร็จงดงามที่สุด เสริมอุดมการณ์ของชายชาติทหาร ความเป็นลูกผู้ชายและความเป็นคนที่มีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึก.  เนื้อหานี้เป็นโฆษณาชวนเชื่อได้เลยว่า เป็นทหารนั้นมีศักดิ์ศรี. นายพลอย่างแม่ทัพเซี่ยเป็นคนน่าเคารพ เป็นวีรบุรุษของชาติอย่างแท้จริง  กระตุ้นจิตสำนึกของชาวประชาให้รับใช้ชาติเยี่ยงอย่างเขา. ในหนังชุดนี้ จักรพรรดิทั่วป๋าเทาทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงเป็นฝ่ายการปกครองจีน ตอกย้ำการเสียสละ การอุทิศชีวิตเพื่อชาติเหนือสิ่งอื่นใด. ต่อหน้าศพของแม่ทัพเซี่ยจักรพรรดิก็สรรเสริญคุณธรรมนั้น ตอกย้ำให้ทหารทุกคนเอาเป็นแบบอย่าง (ตอน37).  การสร้างตัวละครสองตัวนี้เปิดโอกาสให้ผู้กำกับหนังชุดนี้ นำเสนอมุมมองลึกๆในจิตใจของผู้ที่คุ้นเคยกับการใช้กำลังอำนาจเป็นอาวุธหรือเป็นอาชีพ.
ต้องชมลวดลายการต่อสู้ของสองคนนี้. A graceful martial choreography!
 
            เมื่อฮวาหูเข้าไปในเต๊นต์ของแม่ทัพเซี่ย ไปสารภาพว่ามาเข้าเกณฑ์ทหารแทนพ่อ  มีสองสามคนจากหมู่บ้านเดียวกันที่รู้แต่เก็บความลับของเธอไว้  เธอขออย่าให้พวกเขาต้องรับโทษเพราะเธอ  เธอขอรับโทษคนเดียว และขอร้องให้ชื่อของหน่วยกล้าตายคงอยู่ตลอดไป.   ตลอดเวลาแม่ทัพเซี่ยนั่งนิ่ง ไม่พูดอะไรสักคำ เมื่อเธอพูดจบ แม่ทัพโบกมือให้ออกไป ใครก็เดาใจเขาไม่ออก(ตอน 28)   วันรุ่งขึ้นแม่ทัพแต่งตั้งให้ฮวาหูเป็นหัวหน้าหน่วยกล้าตาย  ประกาศแก่ทหารทุกคนว่า “ หน่วยกล้าตาย เพียงชื่อก็ทำให้ข้าศึกกลัว  ความมุ่งมั่นต่อชาติทำให้รบชนะเสมอ และนำศักดิ์ศรีสู่ตนเอง”  แม่ทัพเซี่ยยกม้าขาวม้ารักของเขาให้ฮวาหูใช้.  เหมือนบอกให้รู้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นช่วงปักผ้าไหมวิวาห์ที่อู่เฟิ่งกู่นั้น เขาไม่ลืม ไม่ลืมเช่นกันว่าโม่เจียงกับมู่หลันมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกัน. เขารู้ค่าของความรู้สึกนั้น. 
          เรื่องม้าขาวตัวนี้ ย้อนกลับไปดูตอน 2  นักขี่ม้าสองคน งามเสมอกัน เสมอกันในความรักม้า ในความสามารถขี่และบังคับม้า เป็นฉากที่งดงามมากฉากหนึ่ง. ในตอนนี้โม่เจียงเห็นแม่ทัพมาอยู่ในค่ายขี่ม้าของทหาร เหมือนออกมาซ้อมขี่ม้าอย่างสบายอารมณ์(ทั้งๆที่ในหมู่บ้านกำลังมีการประกวดช่างปัก)  แม่ทัพบอกว่าเพราะเขารักม้า. โม่เจียงบอกว่ารักม้า ไม่ได้หมายความว่ารู้จักม้าเข้าใจม้า. แม่ทัพบอกว่าขี่ม้ามานานยี่สิบปี  วันนี้เป็นครั้งแรกที่มีคนบอกว่าเขาไม่รู้จักม้า...แม่ทัพบอกว่า ถ้าเขามองไม่ผิด ม้าขาวตัวนี้เป็นหนึ่งในม้าแปดตัวที่เลื่องชื่อลือนามของกษัตริย์โจว. โม่เจียงหัวเราะ บอกว่า เขาดูแม่ทัพผิดไป แม่ทัพรู้จักม้าดีทีเดียว.  ถามแม่ทัพว่าอยากลองขี่ม้าขาวของเขาไหม?  แม่ทัพยิ้มอย่างพอใจ ขี้นขี่ม้าขาว ท่าทางองอาจ ชำนาญม้าอย่างแท้จริง หัวเราะชอบใจ ใบหน้ามีความสุข (เป็นความสุขเดียวของแม่ทัพที่แสดงออกให้เห็นในหนังชุดนี้) บอกว่าม้าตัวนี้เป็นม้าดีมาก.  โม่เจียงเห็นแม่ทัพขี่ม้า หน้าเจื่อนๆ รู้ว่าตนคิดผิดไป ยอมรับว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขานั้น คือคนรักม้าจริงและเป็นคนเก่งจริง.  เขาบอกแม่ทัพว่า ม้าที่มีค่าคู่ควรกับวีรชนคนกล้า  เขายินดียกม้าขาวให้แม่ทัพ. แม่ทัพตะกุกตะกัก บอกว่าของขวัญสูงค่าอย่างนั้น รับไม่ได้. โม่เจียงบอกว่า เขาเป็นเพียงพ่อค้าม้า ค่าของมันอยู่ที่ลักษณะภายนอก (เสพูดไปในทำนองของการค้าขายม้า ลักษณะดีขายได้ราคาดี)  ยืนยันว่าดีใจที่ได้พบคนรักม้าจริง ม้าจะได้อยู่กับคนที่รู้ค่าของมัน  ม้าขาวตัวนี้มีนิสัยหยิ่งผยอง ไม่เคยยอมให้ใครขี่มันได้นอกจากเขาเท่านั้น  วันนี้แม่ทัพขี่มันได้เต็มพิกัด ฟ้าลิขิตให้มันมาเป็นของคู่กับแม่ทัพ.  นายพลบอกว่าถ้าพูดอย่างนั้น เขาก็ยินดีรับมันไว้. บอกว่าโม่เจียงเป็นพ่อค้าม้า แต่มองอะไรลึกซึ้ง.  แม่ทัพขอให้โม่เจียงอยู่อู่เฟิ่งกู่ไปก่อน ช่วยฝึกม้ารบให้เขา. โม่เจียงตอบรับ.  
(https://www.youtube.com/watch?v=2GIpYhC5wX0  นาทีที่ 27:37-30:53)  
ตั้งแต่นั้น แม่ทัพเซียขี่ม้าขาวตัวนั้นเสมอ  จนเมื่อเขาแต่งตั้งฮวาหู/มู่หลันเป็นหัวหน้าหน่วยกล้าตาย  ความละเอียดของจิตใจที่มีต่อเธอ แสดงออกไปที่การยกม้าขาวของรักของเขาให้แก่เธอ. ฮวาหูได้ใช้ม้าขาวตัวนี้ต่อมาจนจบเรื่อง.  เกร็ดเรื่องม้าขาวที่เอาเข้ามาแทรกในเรื่องนี้ เปิดเป็นวงจรตั้งแต่ในตอนที่ 1 เมื่อมู่หลันกับพ่อพูดกันถึงเรื่องดูม้าซื้อม้าเพื่อไปใช้ในสงคราม  ตรงกับจังหวะที่โม่เจียงขี่ม้าขาว เดินทางเข้าเมืองมาพอดี.  พ่อของมู่หลันได้ยินเสียงเท้าม้าวิ่งมา พูดออกมาว่า ม้าดีมาแล้ว   (https://www.youtube.com/watch?v=oQo4RcenHUk  นาทีที่ 32:35-33:14 และที่ 35:47-40:57)  ม้าพันลี้มีค่ายิ่งกว่าเพชรพลอย  ม้าที่มีกำลังดีไปได้ไกล มีค่าสูง สุดเปรียบได้.  ม้าขาวยังได้มาช่วยโม่เจียงให้หลุดออกจากเกวียน  ม้าแสดงได้ดีมากเช่นกัน(ตอน15)   หนังชุดนี้จบลงด้วยการที่มู่หลันเป็นเจ้าของม้าขาว ขี่มันไปสงคราม ทำศึกมีชัย และขี่ม้าขาวกลับมาที่บ้านเกิดที่อู่เฟิ่งกู่.  เรื่องม้าเป็นความสำเร็จอีกหนึ่งจุดของหนังชุดนี้.
          แม่ทัพเซี่ยรู้คุณค่าของผ้าปัก เข้าถึงจิตวิญญาณของผ้าปักซันสุ่ยของปาครูเฒ่า (ตอน2) เห็นอีกครั้งคือบนเกวียนที่ทหารไปรับบริจาคผ้าปักไหมจากอู่เฟิ่งกู่  แม่ทัพเซี่ยตื้นตันในความเสียสละของปาครูเฒ่าและของชาวอู่เฟิ่งกู่  เช่นนี้แล้วกองทหารเว่ยต้องตีเมืองเซิ่งเล่อให้ได้.  เมื่อได้เห็นผ้าปักไหมวิวาห์ทั้งฝืน เขาประกาศว่า งานชิ้นนี้จักคงอยู่ต่อไป จารึกไว้ในประวัติศาสตร์  จักเป็นตัวแทนของ “ความเป็นก๊กเว่ย” ที่เปิดเผยแก่ชาวโหรวหรัน. เขาไม่ลืมที่จะสรรเสริญความกล้าหาญและจิตวิญญาณของชาวเมืองผู้ไม่รู้กลัว เสียสละ เอาชนะความลำบากต่างๆ  รวมกับความบรรเจิดของลวดลายดอกไม้ ๑๐๐ ดอก กับฝีมือทอผ้า กับฝีมือปักอันละเอียดประณีต  มาเป็นคุณค่าที่แท้จริงของผ้าปักไหมวิวาห์ผืนนี้ สัญลักษณ์ของวิญญาณที่ใฝ่หาสันติภาพระหว่างโหรวหรันกับเว่ย. 
            แม่ทัพยังรู้จักฟังและเข้าใจดนตรี  เสียงซอจากค่ายฝั่งตรงข้ามที่ล่องลอยตามลมมาถึงค่ายของเว่ย  รู้ว่านั่นเป็นเสียงซอจากเครื่องดนตรีแบบใด ที่ชาวโหรวหรันนิยมกันมาก.  เขาปรารภว่าศึกมาประชิดเมือง ทำไมดนตรีที่ได้ยินจึงยังคงอ่อนโยน หวานๆ แทรกโน้ตเศร้าๆ(ตอน32)  ฮวาหูบอกว่า คนที่กำลังสีซออยู่นั้นคือตัวหลุน และเล่าว่า ตอนที่เธอตามองไม่เห็น เสียงซอของโม่เจียงทำให้เธอมีความสุข ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเองขึ้น ในช่วงเหตุการณ์เลวร้ายที่อู่เฟิ่งกู่ เสียงซอของเขามาอยู่เป็นเพื่อนเธอ  ทำให้เธอฮึกเหิม กล้าขึ้น.   
             ระหว่างรบในศึกชิงเมืองเซิ่งเล่อ ฮวาหูมีโอกาสฆ่าตัวหลุน แต่เธอไม่ทำและปล่อยเขาไป  แม่ทัพคิดว่า เธอไม่ควรออกรบไปเผชิญหน้ากับตัวหลุนอีก การเป็นทหารกล้า ต้องมีใจเข้มแข็ง ไม่เพียงแต่กล้าเผชิญความตาย แต่ต้องกล้าเผชิญเลือดของเพื่อนทหารด้วยกัน  สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความกล้าหาญนี้ รวมถึงการกล้าเผชิญกับความรู้สึกอ่อนแอปั่นป่วนภายในหัวใจของตนเอง  คนไม่ใช่หญ้าไม่ใช่ไม้ ที่ไม่มีความรู้สึก ความรู้สึกต่อคนที่เรารัก ความซื่อสัตย์ต่อเพื่อน ความรักต่อคนรัก นี่คือสิ่งที่มีค่าที่สุดในหัวใจคนเรา  แต่ในยามสงคราม เราต้องวางพวกนี้ลง มู่หลันบอกมันยากมาก  แม่ทัพบอกว่าเธอต้องทำให้ได้. ในสนามรบ มีแต่ชีวิตกับความตาย  มิตรหรือศัตรู ชัยชนะหรือการแพ้.  ชะล่าใจหรือลังเลชั่ววูบเดียว อาจก่อให้เกิดผลที่มิอาจแก้ไขได้อีกเลย  “เจ้ารู้เรื่องนี้ชัดเจนยิ่งกว่าใคร (ศึกยึดเมืองเซิ่งเล่อนี้จริงๆคือศึกระหว่างเจ้ากับตัวหลุน)  ตัวหลุนแพ้เพราะอะไร  เพราะเขาวางความรู้สึกเขาไม่ลง  ดังนั้นผ้าไหมแสนนุ่มสามารถทะลายประตูเมืองเซิ่งเล่อได้  สำหรับประเทศเว่ยนี่คือชัยชนะ สำหรับโหรวหรันเป็นความพ่ายแพ้  เพื่อประเทศเว่ย เจ้าจะทำพลาดอย่างนี้อีกไม่ได้...มู่หลันบอกว่าข้าสองคนมีอะไรที่ตรงกันหลายอย่าง เราไม่อยากทิ้งความรู้สึกที่เรามีต่อกัน  เมื่อก่อนนั้นเป็นไปได้ แต่ต่อไปนี้มันไม่ใช่แล้ว หลังจากที่ได้ผ่านมาถึงจุดนี้ เจ้าไม่ใช่เป็นทหารสามัญคนหนึ่งแล้ว  บนบ่าเจ้า ไม่ใช่มีแค่ชีวิตเจ้าแต่มีชีวิตของหน่วยกล้าตาย ยังมีชีวิตของทหารหน่วยอื่นๆ และความอยู่รอดของทั้งกองทัพ ของทั้งประเทศ  เจ้าไปคิดชั่งน้ำหนักดู... (ตอน33)      
            เมื่อแม่ทัพเซี่ยตาย ฮวาหูไปคร่ำครวญที่หลุมศพของแม่ทัพเซี่ย  “ ข้าเคยคิดว่าข้ากล้าหาญมาก แต่ท่านจากไปแล้ว ข้าค้นพบว่าข้าไม่ได้กล้าอย่างที่ข้าคิด บอกตรงๆตอนนี้ข้ากลัวมาก  ที่อู่เฟิ่งกู่ ท่านสอนข้า นำทางข้า ปกป้องข้า เมื่อข้ามาร่วมในค่ายนี้ ข้าก็อยู่ใต้บังคับบัญชาของท่าน  ท่านเหมือนพ่อข้า  เหมือนพี่ชายคนโต เมื่อมีปัญหาอะไร ท่านก็ช่วยข้าเสมอ ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์อันตรายเพียงใด ข้าเพียงแต่มองไปที่ท่าน  ความกลัวก็ลดลงไปแล้ว แต่มาบัดนี้ ท่านจากไปเร็วอย่างคาดไม่ถึง  ต่อแต่นี้ไป ใครจะมาปกป้องข้า ใครจะมากำบังภัยให้ข้า  แม่ทัพเซี่ย โปรดให้กำลังใจแก่ข้า ให้ข้าเข้มแข็งขึ้นใหม่ ”(ตอน38)  เมื่อเสร็จศึก ฆ่าทัวป๋าเซ่าได้สำเร็จแล้ว  มู่หลันกลับมาที่สุสานแม่ทัพเซี่ย  พบตัวหลุนอยู่ที่หน้าหลุมศพเช่นกัน  เธอคุกเข่ารายงานเม่ทัพว่า (46) “พวกเว่ยได้ฆ่าทัวป๋าเซ่าแล้ว ขอให้ท่านแม่ทัพพักผ่อนอย่างสงบสุข”.  มู่หลันยื่นผ้าปักเค้าหน้าด้านข้างของแม่ทัพให้ตัวหลุนดู เป็นผ้าปักที่เธอปักให้ในวันที่แม่ทัพไปตรวจดูกิจการปักผ้าของบ้านเธอ(ตระกูลฮวา)(ตอน2)   แม่ทัพเซี่ยเก็บผ้าผืนนั้นติดตัวมาจนถึงเวลานั้น  เธอไปพบในเต๊นต์ของแม่ทัพเมื่อเขาเสียชีวิตแล้ว(จักรพรรดิแต่งตั้งเธอเป็นแม่ทัพเว่ยต่อจากเขา)  ตัวหลุนนึกรู้ว่าแม่ทัพเซี่ยรักและชื่นชมมู่หลันเสมอมา  พึมพำว่า เซี่ยจีเฉิง ข้าตัวหลุน ข้าแพ้เจ้า ด้วยความเต็มใจ หากต้องแพ้ใครสักคน เขายอมแพ้แก่แม่ทัพเซี่ย แพ้หัวใจของแม่ทัพ.  เขาบอกกับมู่หลันว่า “ข้าเสียเพื่อนที่ดีที่สุดไป และเสียคู่แข่งที่เก่งที่สุด” (ตอน46)
            บทบาทของแม่ทัพเซี่ย โดดเด่นและสำคัญที่สุดในเรื่องนี้  รวมอุดมการณ์ของความช่ำชองในการศึก ความยุติธรรม ความฉลาดและปัญญากับระดับจิตสำนึกอันลุ่มลึกและโดยเฉพาะความจงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดิน.  แม้ในวินาทีสุดท้ายของชีวิตในอ้อมแขนของจักรพรรดิ(ตอน37)  เห็นจักรพรรดิปลอดภัย ก็บอกว่า “ดีมาก” และเขาวางใจได้แล้ว (ตรงนี้ทารุณเกินไปหน่อยที่ผู้กำกับยังให้เขาพูดอธิบายยืดยาวว่าเกิดอะไรขึ้น หมอในกองทัพของเว่ยคือทัวป๋าเซ่า ที่หมายจะเอายาพิษให้จักรพรรดิดื่ม ฯลฯ)   ประโยคก่อนสิ้นใจยังคือการขอขมาว่ามิอาจรับใช้จักรพรรดิ มิอาจปกป้องประเทศได้อีกแล้ว.  ดาราที่สวมบทบาทของแม่ทัพในเรื่องนี้ แสดงได้ยอดเยี่ยมตั้งแต่ต้นจนถึงนาทีสุดท้าย (ขอคารวะ)  บรรลุจุดใจกลางของเป้าหมาย(ที่จีนต้องการ) คือการกระตุ้นความรักชาติและความจงรักภักดีต่อแผ่นดิน. อุดมการณ์ของความกตัญญูกับความรักชาติในเรื่องฮวามู่หลันถูกยกขึ้นอยู่ในระดับสูงเสมอมา. ตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงยุคคอมมูนิสต์ในปัจจุบัน  ทางการจีนส่งเสริม เผยแพร่เรื่องนี้ ตั้งอนุสรณ์สถาน สร้างอนุสาวรีย์ให้ “ฮวามู่หลัน” ตามเมืองต่างๆทั่วไปในจีนอย่างไม่ลดละ เพื่อตอกย้ำอุดมการณ์นี้.  (ในสิงคโปร์ก็ยังมีรูปปั้นของฮวามู่หลัน).   
            น่าสังเกตว่าในฉากที่แม่ทัพเซี่ยถูกทำร้ายด้วยการถูกลอบแทงจากด้านหลัง(ลูกสมุนของทัวป๋าเซ่าที่แฝงเข้าไปรับใช้เป็นทหารองครักษ์ของจักรพรรดิ) และถูกทัวป๋าเซ่าแทงจากด้านหน้า  ทั้งหมดเกิดขึ้นตรงหน้าตำหนักในของวัง.  ฮวาหูสังหรณ์ใจ ตัดสินใจพาทหารสู้กับทหารองครักษ์เพื่อฝ่าเข้าไปในวัง. เห็นทัวป๋าเซ่าหนีออกมา เขาสู้ไปถอยไป ทหารในวังออกมารุมสู้กับฝ่ายของฮวาหู  เธอจะตามไปจับตัว ขณะนั้นทหารของเธอรายงานว่าแม่ทัพเซี่ยถูกทำร้าย
(ตอน37 > https://www.youtube.com/watch?v=xDytHS-ebcg  นาทีที่ 35:41-35:58) 
ฮัวหูเบิกตา ตกใจ สีหน้ายังแสดงไม่ถึงใจ แต่ดนตรีสี่ตัวที่ดังขึ้นในวินาทีนั้น (35:41- 42)  เชื่อหรือไม่  คือโน้ตสี่ตัวแรกของเพลงโหมโรง O Fortuna! ใน Carmina Burana ของ Carl Orff.  โน้ตสี่ตัวที่แทรกเข้าฉับพลัน กระตุ้นความตระหนก ระทึกใจแทบจะกระชากหัวใจให้ขาด. ปฏิกิริยาของฮวาหูที่ลังเลนิดหน่อย  สั่งให้เพื่อนทหารคู่หูไปดูแม่ทัพ  ไม่เท่าระดับความรู้สึกรุนแรงจากอานุภาพของโน้ตสี่ตัวนั้น. นักแสดงอาจไม่รู้รายละเอียดของดนตรีนี้หรือยังเข้าไม่ถึงหรือไม่ได้สนใจ.  ฮวาหูกวดม้าตามทัวป๋าเซ่าที่หนีออกพ้นกำแพงเมืองไปได้ แต่ทหารไม่เปิดกำแพงให้ฮวาหูออกไป เพราะไม่มีใบผ่านทางจากจักรพรรดิ. (ประโยคแรกและประโยคเดียวที่มู่หลันคร่ำครวญออกมา เมื่อเห็นแม่ทัพสิ้นชีวิตแล้ว และมีจักรพรรดิประคองร่างของเขาอยู่ที่พื้น คือ ท่านแม่ทัพ ฮวาหูยังมีเรื่องสำคัญจะรายงานท่านแม่ทัพ ...ร้องโฮ  การดำเนินเรื่องตอนนี้อาจไม่ผิดวิสัยทหารที่หมกมุ่นแต่เรื่องรบเรื่องจับฆาตรกร  แต่ขัดกับความผูกพันอันยาวนานฐานพ่อ ฐานพี่ชาย ฐานคนที่ปกป้องคุ้มภัยให้เธอตั้งแต่เมื่อเธอเป็นเพียงช่างปักป้าที่อู่เฟิ่งกู่.  (ดูข้างบนนี้เมื่อเธอไปคร่ำครวญตรงหน้าหลุมศพของแม่ทัพเซี่ยในตอน 38) 
            โน้ตสี่ตัวจากดนตรีตะวันตกที่กระหึ่มขึ้นแล้วหายไป ในบริบทเรื่องจีน หลายตอนใช้ดนตรีสมัยใหม่ของจีนหรือสากล  อาจคิดกันว่า ทำนองจากดนตรีตะวันตกเข้าไปในบริบทจีนได้อย่างไร มันทำให้เสียความรู้สึกฒาก.  นี่เป็นความบกพร่องสับสนปนเปของวัฒนธรรมหรือไม่?  การจะใช้ดนตรีประเภทสายในยุคศตวรรษที่ 5 สมัยที่มีตำนานเรื่องฮวามู่หลัน เช่นเสียงซอแบบจีนหรือมงโกล หรือดนตรีจีนสมัยใหม่ มาสื่อความตายฉับพลันของแม่ทัพเซี่ย หรือความรุนแรงของสถานการณ์ คงทำไม่ได้ง่ายนักเช่นกัน  ดังที่ตัวละครสองคนในเรื่องนี้ได้กล่าวพาดพิงถึง (พ่อของมู่หลันในตอน10   และนายพลเซี่ยในตอน 32) ว่าเสียงซอของโม่เจียงและของตัวหลุน สื่อความอ่อนโยน ความอ่อนหวาน ความอาลัยอาวรณ์และความเศร้าของผู้สีซอนั้น  ไม่มีโน้ตของความตาย ความมืดที่น่าสะพรึงกลัว. ข้าพเจ้าคิดว่า เครื่องดนตรีประเภทสายอย่างซอแบบต่างๆ ไม่น่าจะสื่ออะไรที่รุนแรง ที่ฉับพลันหรือความตาย  ต้องเป็นเครื่องดนตรีประเภทอื่นอาทิ ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง มากกว่า  หรืออย่างน้อยก็ต้องเป็นเสียงรัวกลองที่ทำให้จิตใจเต้นตูมตามขึ้นในบัดดล.  ดนตรีจีนที่กระหึ่มขึ้นได้ในชั่ววินาทีที่สามารถสร้างแรงกระเทือนระทึกใจกับความกลัวได้รวดเร็วแบบนั้น ไม่น่าจะมี?  สี่โน้ตจาก O Fortuna ได้มาทำหน้าที่แทน.  เร็วจนแทบจับไม่ได้.  (แต่เพราะโน้ตสี่ตัวนี้เคยกระหน่ำใจข้าพเจ้ามาหลายครั้งหลายครา  ทำให้ไม่พลาดหูไป).  เนื้อหาของดนตรี O Fortuna (ดังที่ข้าพเจ้าเคยกล่าวถึงมาแล้วว่าเป็นกงล้อของโชคลาภ กงล้อของชีวิต) เน้นความสำเร็จกับความล้มเหลว การขึ้นกับการลงของชะตาชีวิตเป็นสำคัญ.  เมื่อพิจารณาชีวิตของแม่ทัพเซี่ย ความคงเส้นคงวาของชีวิตทหารผู้รับใช้พระเจ้าแผ่นดินด้วยดีเสมอมา  การตายของเขาในแง่หนึ่งมิใช่การตกอับ แม้จะมองได้ว่าเป็นเคราะห์กรรม  เป็นการตกลงจากกงล้อชีวิตก็ตาม.
            หากนึกถึงตัวละครอีกตัวหนึ่งคือทัวป๋าเซ่า ผู้เป็นเจ้าชายคนหนึ่งของเว่ย หนีอาญาแผ่นดิน ไปเป็นผู้ช่วยหมอหลัวที่อู่เฟิ่งกู่  แล้วไปเป็นหมอในค่ายทหารของฮวาหูและแม่ทัพเซี่ย และในที่สุดกลับไปเป็นเจ้าชายเว่ยในอารักขาของฝ่ายโหรวหรัน กำลังจะปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิเว่ยในอีกไม่กี่วัน แต่ถูกมู่หลันฆ่าตาย. ชีวิตของทัวป๋าเซ่าในหนังชุดนี้ เป็นตัวอย่างวิเศษสุดของความไม่แน่นอน ของ“อนิจจา วต สังขารา”. โน้ตสี่ตัวนี้ดูจะเหมาะกับการตายของเขามากกว่า.  
(ตอน45 > https://www.youtube.com/watch?v=HpsOlbmbUgI  นาทีที่ 29:44-34:27)  
ตอนที่ทัวป๋าเซ่าถูกฆ่าตายด้วย “เข็มบิน” โดยเฉพาะนาทีที่ 33:33 ก็มีโน้ตดนตรีตะวันตกแทรกเข้าไปด้วยเช่นกัน (ที่รวมเสียงร้องประสานเสียงที่สื่อความสับสน ภายในใจที่กำลังไขว่หาที่พึ่ง แว็บหนึ่งที่แทรกเข้าไป แต่มีอานุภาพไม่เท่าของโน้ตสี่ตัว O Fortuna อาจเป็นเพราะเขาเป็นตัวร้ายในหนังชุดนี้ ที่ปรับความรู้สึกกระเทือนในใจเราลงโดยเราไม่รู้ตัว. (ความจริงมีจังหวะดนตรีคล้ายตะวันตกแทรกอยู่ในฉากเหตุการณ์ชุลมุนหลายฉาก).  อีกประการหนึ่งฉากตายของทัวป๋าเซ่า อยู่ภายในห้องปิด ตามลำพังตัวต่อตัวกับมู่หลัน และอาวุธที่ใช้ก็เป็นเข็ม  เสียงเข็มที่พุ่งไปในอากาศด้วยความเร็ว เร็วเกินกว่าที่ทหารนอกห้องจะได้ยิน.  เกือบพูดได้ว่าเขาตายในความเงียบ ในความโดดเดี่ยว.  คนดูจะใส่ใจในเรื่องเล็กๆเหล่านี้ไหม? 
           เป็นการยากที่จะแบ่งเส้นพรมแดนของดนตรีสมัยใหม่  ทุกคนยอมรับกันแล้วว่า ดนตรีเป็นภาษาที่ไม่มีพรมแดน  ปกติคนที่รู้เรื่องดนตรี แยกดนตรีคลาซสิกกับดนตรีสมัยใหม่(ทุกประเภท)ได้ทันที เพราะดนตรีตลาซสิกมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจน โดยเฉพาะดนตรีคลาซสิกจีน ที่มีเครื่องดนตรีเฉพาะแบบ ส่วนดนตรีสมัยใหม่ไม่ว่าของชาติใด น่าจะรวมทั้งหมดของทุกประเทศเข้าในคำเดียวกันคือ ดนตรีสากล.  แต่หากการนำดนตรีคลาซสิกของคนอื่นมาใช้ มันคงต้องดูว่าเหมาะสมกับบริบทไหมเพียงใด. การสร้างหนัง(สำหรับคนยุคใหม่ แม้จะเป็นเรื่องจากวรรณกรรมโบราณ) อาจเหมือนการทำสลัด ที่เอาอาหารและเครื่องปรุงที่เราชอบใส่ลงคลุกเคล้ากันไป เติมนั่นนิด เติมนี่หน่อย  หากอร่อยเราก็พอใจ จะบอกว่านั่นเป็นสลัดสไตล์ฝรั่งเศล อิตาเลียนหรือสไตล์ส่วนตัว  มีประโยชน์อันใดไหม?   คิดแล้วก็ยังต้องบอกว่า คณะผู้สร้างหนังชุดนี้ “รู้จัก” หรือ “เคยฟัง” ดนตรีตะวันตก และรู้คุณค่ากับพลังของมันพอสมควร แต่อาจยังไม่ลึกซึ้งหรือเข้าถึงบริบทเฉพาะเจาะจงของดนตรี O Fortuna! ใน Carmina Burana ของ Carl Orff.
(ฟังโน้ตสี่ตัวแรกของ O Fortuna ได้ที่นี่ ภาพประกอบดนตรีในคลิปนี้ก็น่าคิดเช่นกัน

วิถีครอบครัว  ฮวาหูพ่อของมู่หลัน เคยไปรบ บาดเจ็บสาหัสแต่รอดกลับมา  ทำให้เขามีร่างกายไม่สมบูรณ์แข็งแรงเหมือนคนปกติ  เมื่อมีประกาศเรียกตัวเขาไปเป็นทหารอีก เขาก็ทำตามหน้าที่  มู่หลันไม่อยากให้พ่อไป  แต่เมื่อพ่อต้องไป ก็อยากซื้อม้าดีๆให้พ่อไปใช้ในสนามรบ (ไปขอซื้อม้าขาวกับโม่เจียง แต่เขาไม่ขายให้. ตอน1)  กองทหารเกณฑ์กำลังจะออกเดินทาง  แม่ทัพเซี่ยนำกองทหารเข้ามาในอู่เฟิ่งกู่  และประกาศว่า ขณะนี้สงครามยุติลง จักรพรรดิขอให้ชาวบ้านอู่เฟิ่งกู่ที่มีชื่อเสียงในการทอและปักผ้าไหม ให้ร่วมมือกัน ช่วยกันทอและปักผ้าไหมวิวาห์ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสินสอดที่เจ้าหญิงฝ่ายเว่ยนำติดตัวไปโหรวหรันในพิธีสมรสระหว่างเจ้าชายโหรวหรันกับเจ้าหญิงเว่ย.  ผู้ชายในอู่เฟิ่งกู่จะได้รับการยกเว้นจากการเกณฑ์ทหารหนึ่งปี และหากทุกคนต้องการสันติภาพให้ยั่งยืนตลอดไป ขอให้ทุกคนเต็มกำลังร่วมมือกันเพื่อให้ผ้าปักไหมวิวาห์ผืนนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี.  ภายในเจ็ดวันจะมีการคัดเลือกช่างปักฝีมือดี ให้มาปักผ้าวิวาห์ผืนนี้ให้เสร็จภายในเวลาครึ่งปี.  ช่างปักที่ทำผ้าปักวิวาห์นี้ได้สำเร็จ นอกจากที่จักรพรรดิจะให้โล่ทองคำจารึกคำว่าช่างปักมือหนึ่ง(ของโลก)แล้ว  ยังได้ทองคำอีกสองร้อยซั่ง และหากมีสมาชิกในครอบครัวได้กำหนดเกณฑ์ทหารไปรับใช้ชาติ ก็จะได้รับการยกเว้นการเกณฑ์ทหารไปตลอดชีวิต.  มู่หลันไปสมัครเป็นช่างปักด้วยความหวังว่าถ้าได้รับเลือก พ่อก็ไม่ต้องไปสงครามอีกเลย(ตอน2)   เมื่อได้รับเลือกให้เข้าร่วมทีมปักผ้า  เธอก็มุ่งมั่นทำอย่างสุดฝีมือ ทุ่มกายทุ่มใจอย่างไม่ลดละ  แม้ว่าจะถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า.  พ่อของมู่หลันพูดคุยกับลูกสาวบ่อยๆ  มู่หลันเสียใจที่ตัวเองเป็นผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย ทำให้พ่อต้องลำบากหลายอย่างและที่สำคัญทำให้พ่อต้องไปเป็นทหาร.  
            สิ่งหนึ่งที่พ่อสอนเธอคือ ต้องให้อภัยแก่ศัตรู ต้องเป็นเพื่อนกับชาวโหรวหรันได้ เพราะพวกเขาก็เหมือนกับชาวเว่ยที่ไม่ต้องการสงคราม.  สงครามนั้นเป็นการตัดสินของคนใหญ่คนโตของบ้านเมือง  ประชาชนคนเล็กๆนั้นไม่ต้องการอะไรมากกว่าการมีชีวิตสงบและทำมาหากินตามความถนัด  ถ้ามู่หลันมุ่งมั่นปักผ้าเพื่อสันติภาพ แต่ปฏิเสธที่จะเป็นเพื่อนกับชาวโหรวหรันคนหนึ่ง  สันติภาพจะเกิดขึ้นได้อย่างไร  เราต้องรู้จักแยกแยะคนดีคนชั่ว ไม่ใช่แยกแยะผิวพันธุ์ชนชาติ  ถ้ามู่หลันคิดว่าโม่เจียงที่สารภาพกับเธอแล้วว่าเป็นคนโหรวหรันและได้นำความเดือดร้อนแก่เธอและพ่อ  ถ้าเธอคิดว่าเขาเป็นคนไม่ดี  เธอก็ต้องไปรายงานให้แม่ทัพเซี่ยรู้ แต่ถ้าเธอรู้สึกว่า เขาไม่ใช่คนเลว  เธอก็ควรจะเป็นเพื่อนกับเขาได้ พ่อบอกให้มู่หลันไปคิดเอาเอง เพราะเธอโตแล้ว (ตอน13)   ความรู้สึกเป็นศัตรู สร้างความเกลียดชังในใจของกันและกัน ผ้าปักผืนเดียวไม่อาจลบความเกลียดชังของกันและกันได้.  การให้อภัยกันจริงๆ ต้องมาจากใจและความเอื้ออาทรต่อกัน  ตราบใดมู่หลันไม่อาจให้อภัยศัตรูอย่างหมดหัวใจ  ไม่ว่าจะทำผ้าปักไหมอีกกี่ผืน ก็ไม่มีประโยชน์.  เมื่อเค้นเอาความเกลียดออกมาจากใจให้อภัยกันแล้วเท่านั้น  เมื่อนั้นสงครามยุติลงและนำสันติภาพมาอย่างแท้จริง (ตอน15)

             ท่าทีหรือปรัชญาการครองชีวิตของพ่อคนนี้ แสดงความใจกว้าง การรู้จักเหตุปัจจัย มิได้ยึดว่าทุกอย่างต้องเป็นขาวเป็นดำเสมอไป แต่ต้องพิจารณาเป็นรายๆไป.  วิธีการสั่งสอนลูกสาว ความใกล้ชิดกับลูกสาวเช่นในเรื่องนี้นั้น ดูจะผิดธรรมดาในสังคมจีนสมัยก่อน ยิ่งเป็นลูกสาวก็ยิ่งเหินห่างจากบิดา. ในเรื่องนี้ มีหลายตอนที่พ่อเป็นคนทำกับข้าวให้ลูกสาวกิน  เป็นพ่อที่รักลูกและเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวของลูกด้วย.  ทั้งหมดนี้มีความเป็นไปได้น้อยมากในธรรมเนียมจีน ไม่ต้องพูดถึงสมัยศตวรรษที่ 5 แม้ในสังคมปัจจุบันไม่ว่าในจีน เกาหลีหรือญี่ปุ่น น้อยนักที่ลูกจะเป็นอื่นไปได้นอกจากทำตามที่พ่อแม่ต้องการ.  การที่คณะผู้สร้างเจาะจงให้คุณสมบัติของพ่อมู่หลันเป็นเช่นนี้ อาจเป็นวิธีวิพากษ์วิจารณ์สังคมวิธีหนึ่ง  กระตุ้นผู้ชมในสมัยปัจจุบันไตร่ตรองใหม่ถึงความเป็นพ่อเป็นลูกในครอบครัว ถึงสิทธิการเป็นตัวของตัวเอง ถึงความเห็นแก่ตัวของหัวหน้าครอบครัวเป็นต้น.  ส่วนเรื่องการรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัยที่เขาพร่ำสอนมู่หลันนั้น เป็นแสงริบหรี่ในความมืดมนของจิตใจที่คิดแต่การแก้แค้น.  ตัวละครทุกตัวมิได้หันเหออกนอกเส้นทางที่มีเสาแห่งความพยาบาทอาฆาตปักเป็นแนวไปจนถึงปลายทางจุดจบของหนังชุดนี้.  แม้แต่ตัวพ่อมู่หลันเอง เมื่อเห็นโม่เจียงกลับไปหามู่หลันที่อู่เฟิ่งกู่หวังจะไปเอาตัวเธอออกไปอยู่ในที่ปลอดภัย ในที่ที่ไม่มีสงคราม เพราะเขาไม่สามารถห้ามสงครามที่ข่านผู้พ่อกับจินฉันจื่อร่วมกันผลักดันให้เป็นไป.  พ่อของมู่หลันเมื่อเห็นเขามาที่บ้าน ไม่บอกว่ามู่หลันไปไหน ไล่เขาออกจากบ้าน ทั้งโกรธทั้งเกลียดที่เขามิได้ทำตามสัญญาว่าจะไม่ให้มีสงคราม  ตะหวาดออกมาว่าอยากฆ่าเขา(ตอน23)  อุดมการณ์ที่เขาเคยพร่ำสอนลูกสาว คลอนแคลนหักลงทันที. พูดง่าย ทำยาก.
            เมื่อแม่ของมู่หลันถูกจับเข้าคุก โดนข้อหาว่าฆ่าแม่ของฝูหลิง.  เมื่อออกมาจากคุก กลับมาทำหน้าที่หัวหน้าทีมปักผ้าวิวาห์ต่อ  ผลงานเป็นที่พอใจ จักรพรรดิมอบกรรไกรทองเป็นของขวัญให้แก่เธอ  คนอื่นๆได้เข็มทองคนละเล่ม  เธอได้ยกกรรไกรทองให้แก่ฝูหลิง บอกว่าแม่ของฝูหลิงควรจะเป็นผู้ได้ แต่ในเมื่อเธอไปสวรรค์แล้ว จึงขอให้ฝูหลิงเป็นผู้รับไว้แทน.  มู่หลันชมแม่ว่า แม่ทำดีแล้ว เธอบอกลูกว่า ตอนอยู่ในคุก คิดว่าจะไม่มีโอกาสพบหน้าลูกพบหน้าพ่อของลูกอีก เธอตระหนักชัดเจนว่า เงินทอง ยศ อะไรอื่นใดก็ไม่สำคัญ  สำคัญคือความรู้สึกผูกพันรักใคร่กันในครอบครัว  กรรไกรทองหรือเข็มทองมีค่าไม่เท่ากับความรักในครอบครัว(ตอน12).  เธอเสียใจที่เป็นคนอารมณ์ร้ายและทะเลาะเบาะแว้งกับแม่ฝูหลิงบ่อยๆทั้งๆที่เติบโตมาด้วยกัน เรียนปักผ้ามาด้วยกัน แต่ไม่เคยใช้ความคุ้นเคย สานไมตรีให้แน่นแฟ้นและทำอะไรดีๆด้วยกัน จนหมดโอกาสไป..  ความรักความผูกพันระหว่างสามีภรรยาก็เช่นกัน  เมื่อภรรยาตาย ฮวาหูพ่อของมู่หลัน ตกดึกออกไปยืนถือตะเกียงอยู่หน้าบ้าน.  เมื่อมู่หลันถามก็บอกว่า เมื่อไปค้าขายไหมกลับบ้านดึก แต่ไกลเห็นแสงตะเกียง เขารู้ว่านั่นคือภรรยาที่คอยเขากลับบ้าน ไม่ว่าจะดึกอย่างไรก็ไม่เข้านอน  แสงตะเกียงนั้น ทำให้เขาอบอุ่นใจ. ตอนนี้เขาอยากคอยเธอกลับบ้าน อีกสักครู่คงจะมา.  ฉากนี้ก็เป็นฉากที่สวยงามมากอีกฉากหนึ่ง.  มู่หลันได้แต่ร้องไห้ “ พ่อ! แม่ไม่มาแล้ว แม่มาไม่ได้แล้ว! (ตอน13)
          ในชีวิตประจำวันสามีภรรยาที่อยู่ด้วยกันมา ไม่เคยได้บอกรักกัน ความผูกพันก็เก็บเงียบอยู่ในใจ จนเมื่อตายจากกันไปข้างหนึ่ง จึงอาจพูดออกมา บางทีก็ไม่พูดถึงเลย.  ความรักในความเงียบ ลุ่มลึกอยู่ภายใน.  มันควรจะเป็นเช่นนั้นไหม?  อาจเป็นคำถามที่ผู้สร้างหนังบอกคนดูให้ไปคิดเป็นการบ้าน.  คนสมัยก่อนดูจะเข้าถึงจิตใจของกันและกันโดยไม่ต้องพูดอะไรสักคำ.  คนสมัยนี้พูดกันมากขึ้นแต่ไม่เข้าใจกันเลยก็มี.  เพราะต่างฝ่ายต่างพูด ไม่มีใครฟัง.  ขอให้ได้พูด พูดอะไร? ก็คือพูดซ้ำพูดซากสิ่งที่คนอื่นพูด ด้วยความมั่นใจว่านั่นคือสิ่งที่ตัวเองคิด.  หากตัวเองคิดได้แบบนั้น ก็ต้องสามารถถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดนั้นออกมาได้ ทำไมต้องอาศัยคำพูดของคนอื่น?  คนพูด เสียโอกาส “ลับ” ประสาทสัมผัสที่โดยธรรมชาติเปิดกว้างเป็นเครือข่ายเหมือนใยแมงมุม รับรู้โลกรอบข้าง. คนไม่พูด หูรับเสียงจากทุกความถี่คลื่น  มือสัมผัสสิ่งที่เห็น  ตาสำรวจพื้นที่  จมูกทำงาน เจาะจง สั่งสมประสบการณ์กลิ่น  สมองรวบรวมประจุไฟฟ้า ส่งถ่ายข้อมูล จัดแยกแฟ้มข้อมูลและบูรณาการทุกเครือข่ายในร่างกาย...  คนรู้จักฟัง ฟังทั้งเสียงนอกกายและเสียงในใจ.


            ตรงกันข้ามกับพ่อลูกอีกคู่หนึ่งในเรื่องนี้ คือเฮอหงกับจินฉันจื่อผู้เป็นมหาอำมาตย์ของก๊กโหรวหรัน  เขาพร่ำบอกว่ารักลูกและตามใจเธอพอสมควร  แต่เรื่องความรักของลูกนั้น  เขายอมไม่ได้ ลูกสาวต้องแต่งงานกับคนที่พ่อจัดให้ มิใช่แต่งกับคนที่เธอรัก โดยบอกว่าเพื่อความสุขและความมั่นคงของชีวิตลูกสาวเอง  เขาวางจุดยืนนี้เป็นเส้นตายไม่ยอมเปลี่ยน. นี่เป็นตัวอย่างแบบหนึ่งของการขายลูกเพื่อตัวเองใช่หรือไม่ ?  เขาพยายามพร่ำบอกลูกสาวว่า ความรักไม่ใช่ทุกอย่าง แต่อำนาจคือทุกอย่างที่จะนำความสุขมาให้.  จินฉันจื่อจึงเป็นภาพลักษณ์ของพ่อที่คิดแต่ผลประโยชน์ของตนเองเป็นสำคัญ ใช้ลูกเป็นเครื่องมือไต่เต้าสู่เป้าหมายในชีวิตซึ่งคือการได้เป็นข่านของโหรวหรัน.  เฮอหงรู้ความลับของพ่อ ว่าพ่อเองเป็นคนสั่งฆ่าเจ้าชายองค์โตของข่าน  สั่งให้วางยาพิษในเหล้าให้ข่านดื่ม  และจะสั่งฆ่าตัวหลุนเจ้าชายองค์ที่สองผู้ที่เฮอหูรักอย่างหมดจิตหมดใจ. เธอบอกว่าพ่อเป็นคนน่ากลัว.
              ความเสียใจและความสิ้นหวังในตัวพ่อบวกกับความรักที่มีต่อตัวหลุน ทำให้เธอตัดสินใจร่วมมือกับมู่หลัน(ทั้งๆที่เธอเกลียดมู่หลัน คิดกำจัดเธอด้วยความอิจฉาริษยาที่ตัวหลุนไม่เคยลืมมู่หลันเลย). เฮอหงช่วยตัวหลุนออกจากคุก ช่วยมู่หลันให้หนีออกจากวังเมื่อฆ่าทัวป๋าเซ่าแล้ว และพาทั้งสองกับทหารคู่หูของมู่หลันอีกหนึ่งคนไปส่งใกล้พรมแดนโหรวหรันและเว่ย.  เมื่อพ่อตามไปล้อมกลุ่มนี้ได้  เธอใช้มีดสั้นของพ่อขู่ฆ่าพ่อ บอกให้พ่อเปิดทางให้ทั้งสามคนจากไป.  พ่อยอมตกลง.  เมื่อสามคนหายลับไป เธอตะโกนตามหลังว่า “ตัวหลุน ถ้าชาติหน้ามีจริง  ข้าขอให้เจ้ารับข้าเป็นเมีย”  แล้วเธอเชือดคอตัวเองตายต่อหน้าต่อตาจินฉันจื่อ(ตอน46).
จนถึงทุกวันนี้ในสังคมเอเชีย ลูกสาวหรือลูกชายอีกจำนวนมากที่เป็นเครื่องมือของพ่อแม่แบบนี้.  กี่พันปีผ่านไป อีกกี่พันปีข้างหน้า ก็จะมีโศกนาฏกรรมแบบนี้เกิดขึ้นอีก.  พ่อแม่ มีหลายแบบ  แต่ละแบบส่งผลต่อชีวิตของคนรอบข้างต่างกัน.  น้ำหนักของความกตัญญูบดทับชีวิต ขยี้ตัวตนของคนๆหนึ่ง. แต่ละคนควรมีสิทธิ์ใช้ชีวิตของเขาเองไหม?  อะไรที่ทำให้คนมีอุปนิสัยไม่เหมือนกัน?  ในบริบทเหมือนกัน (พื้นที่ ดินฟ้าอากาศ) สัตว์สายพันธุ์เดียวกันมีนิสัยเหมือนหรือต่างกันไหม?  คนเป็นสัตว์ชนิดเดียวที่เรียกร้องความกตัญญู ใช่หรือไม่?  จำต้องมีกฎหมายปกป้องคน คุ้มครองสิทธิเด็ก กำหนดระเบียบความประพฤติของทุกคน ของพ่อแม่ ของลูก ของคนทุกชนชั้น ทุกอาชีพ.  ปรัชญาขงจื้อ ลัทธิเต๋าของเล่าจื้อ ไม่เข้าถึงจิตสำนึกของคนจีน ของมนษย์ทุกคนเลยหรือ?  ในสังคมไทยก็ยิ่งไม่มีผล ศาสนาเยียวยาได้ไหมหรือสร้างปัญหามากขึ้น?  คนไทยมองศาสนาเพื่อขอปาฏิหาริย์ต่างๆเท่านั้นหรือเปล่า?  เราได้รู้ได้เห็นและจะรู้และเห็นเรื่องสะเทือนใจแบบนี้บ่อยๆ   การยอมตนเป็นหนทางเดียวหรือที่จะนำความสุขสงบมาให้บ้าง?  การยอมตน(stoïcisme et résignation) เป็นรูปแบบหนึ่งของการฆ่าตัวตายหรือเปล่า?  (ในหนังชุดนี้ ตัวละครฆ่าตัวตายเสมอ อย่างน้อยก็ห้าราย เป็นทางออกเดียวหรือ?)
            ความรักที่เป็นแกนหลักของหนังชุดนี้ คือการยอมสละตัวเองออกไป เพื่อประโยชน์ของคนอื่นอีกคนหนึ่งหรือหลายคน (ของพ่อ ของคนรักหรือของชาติ)  ดึงจิตวิญญาณของคนหนึ่งขึ้นสู่จิตสำนึกที่สูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง.  ความรักเป็นความปิติ ความเมตตากรุณาที่เห็นคนอื่นมีความสุข.  ความรักความดีและความงาม นำไปสู่สิ่งที่ดีที่งาม เป็นพลังขับเคลื่อนไปสู่สังคมที่มีคุณธรรม. ยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในเรื่องนี้อีกมาก เช่นความผูกพันในหมู่ทหารร่วมทีม ของหัวหน้ากับลูกน้อง (camaraderie)  หรือของคนร่วมอาชีพ.  เมื่อมองโดยรวม เวลาที่เสียไป ข้าพเจ้ารู้สึกว่าคุ้มค่าพอสมควร.  
การดูหนังชุดนี้ได้เปิดโอกาสให้เปลี่ยนความบันเทิงเป็นการมองสำรวจตนเอง  ได้เปิดโอกาสให้ทวนและหวนกลับไปสู่ค่านิยมของเราเอง ของสังคมที่เราอยู่  กลับไปมองความเป็นมนุษย์ในมิติต่างๆที่ทอแทรกไปตลอดความยาวของหนังชุดนี้.   ความงามของการเป็นคน  ความละเอียดประณีตของอารมณ์ความรู้สึก ความอ่อนโยนที่แฝงอยู่ลึกๆในก้นบึ้งของใจคน  การต่อสู้แบบต่างๆ ความทุกข์และความสุข  ที่เป็นแรงผลักดันให้แต่ละคนประคับประคองตัวเองให้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เป็นได้.  ทั้งหมดนี้รวมกันคือความกล้าหาญของคน ความกล้าหาญที่ช่วยสร้างสังคม  หากทุกคนร่วมเดินไปในทิศทางเดียวกัน ย่อมทำให้เกิดสังคมที่ยุติธรรมกว่า  และเมื่อพ้นจากปัญหาปากท้อง พาคนไต่เต้าสู่มิติที่ดีกว่า ที่ดีขึ้นไปเรื่อยๆ  ดลใจให้คนสร้างสรรค์สิ่งสวยงาม ที่จรุงใจ สร้างศิลปะที่ปลอบใจ ที่เป็นสะพานนำปัญญาและจิตสำนึก ขยายต่อไปในจักรวาลที่ไม่สิ้นสุด.

บันทึกข้อคิดเห็นจากการชมภาพยนตร์ชุดฮวามู่หลัน กรกฎาคม-สิงหาคม ๒๕๕๘.
โชติรส โกวิทวัฒนพงศ์.

ปล. ว่าจะเขียนเทียบโครงสร้างประโยคและสำนวนจีนตามที่ได้ฟังและอ่านจากบทบรรยายภาษาจีนของเรื่องนี้ แล้วมาเทียบกับโครงสร้างและสำนวนในภาษาไทย  แต่คงไม่ทำแล้ว ตาขาวน่ะ เพราะตามัว  จึงขอยุติเรื่องฮวามู่หลันแต่เพียงนี้. สวัสดี.