Tuesday 7 July 2015

ประติมากรรมสร้างโลกสวยในแบบของ Jean-Michel FOLON



เมื่อวันก่อน (๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘) ได้ยินข่าวเกี่ยวกับมูลนิธิโฟ-ลง (Fondation Folon [ฟงดาซียง โฟ-ลง]) จากทีวีฝรั่งเศส ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่า คุ้นเคยกับผลงานของศิลปินคนนี้ ผู้มีชื่อเต็มว่า Jean-Michel Folon [ฌ็อง-มิเชล โฟ-ลง] ชาวเบลเยี่ยมผู้ใช้ภาษาฝรั่งเศส (March 1, 1934 – October 20, 2005)  คนที่รู้จักเขาหรือทำงานกับเขาต่างยืนยันว่าเป็นคนอารมณ์ดี  มีอารมณ์ขันเสมอ มองโลกในแง่ดี และไม่เคยท้อถอยในการโปรโหมตความรักสิ่งแวดล้อม ความรักชีวิตและศิลปะการใช้ชีวิตในความเรียบง่ายอย่างตระหนักรู้ในคุณค่าของสรรพสิ่ง ฯลฯ  
           ในปี 2000 โฟ-ลงเองได้จัดตั้งมูลนิธิโฟ-ลงขึ้น  ตั้งอยู่บนพื้นที่นาของปราสาท Château de la Hulpe [ชาโต เดอ ลา อุ๊ลเปอะ] แถวเมือง Solvay [ซอลเว] ประเทศเบลเยี่ยม   มูลนิธิโฟ-ลงได้จัดพิพิธภัณฑ์รวมผลงานตลอด 40 ปีในชีวิตสร้างสรรค์ของศิลปิน  ทั้งหมดมากกว่า 500 ชิ้น  มูลนิธินี้เป็นผู้บริหารจัดการพิพิธภัณฑ์ กับดูแลอนุรักษ์และเผยแพร่ผลงานทั้งหมดของโฟ-ลงสู่สาธารณชน
          ปีนี้เป็นปีครบรอบ 10 ปีที่โฟ-ลงถึงแก่กรรม (เมื่อเขาอายุ 71 ปี) และเป็นปีครบรอบ 15 ปีของการสถาปนามูลนิธิโฟ-ลง  ประเทศเบลเยี่ยมเห็นเป็นโอกาสดี จึงจัดนิทรรศการครั้งใหญ่เพื่อรำลึกถึงศิลปินผู้เป็นที่รักของชาวเบลเยี่ยมทั้งเด็กและผู้ใหญ่  นิทรรศการปีนี้เปิดตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม ถึงวันที่ 1 พฤศจิกายนปี 2015  ณที่ตั้งของมูลนิธิเลย คือที่ Château de la Hulpe ในเบลเยี่ยม. ในนิทรรศการนี้มีผลงานกว่าสองร้อยชิ้นที่ยังไม่เคยนำออกแสดงที่ใดมาก่อน
           ตามรายงานข่าวเจาะจงว่า โฟ-ลง เป็นศิลปินที่มีความสามารถหลากหลาย ตั้งแต่การเป็นนักวาดเขียน เป็นนักออกแบบลายเส้น เคยวาดภาพประกอบหนังสือ ภาพปกให้วารสาร The NewYorker และวารสาร Times ของอเมริกาแล้วหลายฉบับ  วาดภาพปกของวรรณกรรมหลายเล่มทั้งของนักประพันธ์ชาวฝรั่งเศสเช่น Emile Zola, Jacques Prévert, Boris Vian และนักประพันธ์ต่างชาติเช่น Kafka. ทั้งยังเป็นผู้วาดโปสเตอร์ของเทศกาลระดับโลกจำนวนมากเช่น เทศกาลเมืองเวนิส เทศกาลภาพยนต์เมือง Cannes [กาน] ของ Roland Garros, หรือโปสเตอร์ภาพยนต์หลายเรื่องของ Woody Allen เป็นต้น นอกจากด้านวาดเขียนและจิตรกรรม  เขายังมีผลงานประติมากรรมอีกจำนวนมาก
           ปีที่ข้าพเจ้าไปชมนิทรรศการของเขานั้น คือปี 2005 นิทรรศการจัดขึ้นที่เมืองฟลอเรนซ์ พอดีกับที่ข้าพเจ้าผ่านไปทัศนศึกษาที่อิตาลี จึงมีโอกาสได้ไป “สัมผัส” งานสร้างสรรค์ของเขา ที่จัดขึ้นภายในบริเวณกว้างใหญ่บนเนินสูงของเมืองฟลอเรนซ์ที่เป็นที่ตั้งของป้อม Forte di Belvedere, พระราชวังและต่อไปถึงป้อม Fortezza da Basso  ผลงานของเขาจัดตั้งกระจายไปทั่วทั้งพื้นที่  มีทิวทัศน์ของเมืองฟลอเรนซ์เป็นฉากตระการตาอยู่ข้างหลัง  นิทรรศการปีนั้น ตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม ถึงวันที่ 15 กันยายน 2005. โฟ-ลงถึงแก่กรรมหนึ่งเดือนต่อมา เมื่อวันที่ 20 ตุลาคมปีนั้นเอง  เท่ากับว่า นั่นเป็นนิทรรศการสุดท้ายที่เขาไปควบคุมและจัดเอง  เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน ยังจำได้ว่าเดินชื่นชมประติมากรรมแต่ละชิ้นของเขาด้วยจิตเบิกบานและสงสัย (ดังที่ศิลปินชอบ “เครื่องหมายคำถาม”ที่เขาใช้บ่อยๆ)   ดูเหมือนว่าแนวความคิดและจินตนาการของเขาเข้าจับจิตวิญญาณของผู้ไปชมได้ทันที  สิบปีผ่านไปแล้ว ผู้สร้างงานเหล่านั้นก็ผ่านไปแล้ว  เหลือความฝันและจินตนาการของเขาที่ยังคงหล่อเลี้ยงอนุชนรุ่นหลัง
       หูเหมือนได้ยินเสียงของเขาที่เชิญชวนให้ออกเดินทาง สู่เสรีภาพ ให้เริ่มเดินทางในวินาทีนี้เลย เพราะการเดินทางในที่สุดมิได้สำคัญตรงที่ไปถึงจุดหมายปลายทาง  แต่คือการมีจิตวิญญาณของผู้รักอิสระ รักการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ และมองดูทุกอย่างรอบข้างอย่างเจาะลึกด้วยความรักชีวิต รักธรรมชาติ รักเพื่อนมนุษย์  โลกทั้งใบอยู่ในหัวเรา ในจินตนาการของเรา  เราไปเที่ยวรอบโลกได้อย่างเบิกบานใจด้วยจินตนาการที่ไร้พรมแดน  
       เคยนำเสนอนิทรรศการของเขาลงในบล็อกเมื่อปีที่แล้ว เลยถือโอกาสนำกลับมาให้ดูกันใหม่ แน่ใจว่าไม่น่าเบื่อ  ทุกอย่างที่เขียนไว้ยังครบถ้อยกระทงความตามที่ข้าพเจ้าได้ไปสัมผัสมาเมื่อสิบปีก่อน ได้นั่งฟังศิลปินพูดถึงความคิด การสร้างงานของเขา ชัดเจน เรียบง่ายและตรงประเด็น 
ขอถือโอกาสคารวะและขอบคุณศิลปินมาณที่นี้  
(๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘)



**********************************************

นำชมนิทรรศการชื่อ Folon Firenze [โฟ-ลง ฝิเร้นเศะ] ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 พฤษภาคม ถึงวันที่ 15 กันยายน ปี 2005 ที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี มีข้อความติดไว้เชิงแนะนำเกี่ยวกับนิทรรศการพิเศษนี้ ใจความย่อๆว่า
Folon Firenze เป็นมากกว่าการจัดแสดงนิทรรศการ เพราะเป็นการแสดงความรักของศิลปิน Folon ที่มีต่อเมืองฟลอเรนซ์  ที่เป็นเสมือนบ้านแห่งที่สองของเขา  เป็นเมืองที่มีมิติลึกล้ำหาที่เปรียบมิได้ ทั้งในด้านศิลปะและด้านประวัติศาสตร์  ศิลปินมาน้อมคารวะและชื่นชม พร้อมกับยอมรับว่าการมาท้าแข่งกับเมืองที่งดงามถึงเพียงนั้นนั้น เป็นเรื่องยากทีเดียว  แต่ความกระตือตือร้นในการจัดนิทรรศการของเขาได้รับการตอบสนองและความร่วมมือจากชาวเมืองฟลอเรนซ์เป็นอย่างดี  ทั้งหมดกุลีกุจอช่วยกันจัดวางประติมากรรมบนทุกพื้นที่ ตรงโน้นบ้าง ตรงนั้นบ้างหรือตรงนี้บ้าง  ตั้งแต่บนยอดหอคอยของป้อม Forte di Belvedere  ที่มีประติมากรรมสามสิบชิ้น ที่แทรกตัวเข้าไปอยู่ในสวนและตามไหล่เขาที่ลดหลั่นกัน  และยังเข้าไปยึดพื้นที่อีกสองชั้นของตำหนัก  สำหรับจัดแสดงภาพสีน้ำ สิ่งละอันพันละร้อยและประติมากรรม(ขนาดเล็กกว่า)  และรวบพื้นที่ของป้อม Fortezza da Basso  สำหรับเป็นที่ประดิษฐานสระน้ำพร้อมประติมากรรม L’homme de la paix (ชายผู้รักสันติ) ที่ศิลปินจัดวางไว้ที่นั่นเป็นการถาวร เนื่องจากเขาได้มอบประติมากรรมนั้นแก่เมืองเวนิส...  และยังมีรูปปั้นอีกมากที่กระจายไปตั้งตามมุมตามสถานที่ตามสวนต่างๆของเมืองฟลอเรนซ์ ฯลฯ .... ฤดูร้อนปีนี้ที่เมืองฟลอเรนซ์ จึงเป็นฤดูกาลของ Folon โดยเฉพาะ




ข้าพเจ้าเองก็เพิ่งได้รู้ได้เห็นเกี่ยวกับศิลปินผู้นี้เมื่อบังเอิญผ่านไปแวะที่เมืองฟลอเรนซ์ปีนั้น  ชื่อเต็มของเขาคือ  Jean-Michel Folon เป็นชาวเบลเยี่ยม เกิดในปี 1936 (Uccle, Belgium) เมื่ออายุ 20 เขาผละจากการศึกษาสถาปัตยกรรม หันไปทุ่มชีวิตจิตใจกับการวาดเขียน (drawing)  ต่อมาย้ายไปอยู่ที่กรุงปารีส  นิทรรศการครั้งแรกของเขาไปจัดอยู่ที่กรุงนิวยอร์คในปี 1969 ที่หอศิลป์ Galleria Lefèbre และในปีถัดมาก็ไปแสดงที่ Biennale di Venezia ประเทศอิตาลี (ชื่อในภาษาอังกฤษว่า Venice Biennal เป็นนิทรรศการศิลปะที่จัดขึ้นในปัจจุบันที่เมืองเวนิส จัดทุกสองปีในปีที่เป็นเลขคี่  เทศกาลภาพยนต์ - Venice Film Festival ก็เป็นส่วนหนึ่ง หรือนิทรรศการสถาปัตยกรรม - Venice Biennale of Architecture ที่จัดขึ้นที่นั่นทุกสองปีในปีที่เป็นเลขคู่ ก็เป็นส่วนหนึ่งเช่นกัน ตั้งแต่ปี 1999 มีเทศกาลเต้นรำนานาชาติ - International Festival of Contemporary Dance รวมอยู่ในBiennale di Venezia ด้วย นับเป็นมหกรรมการแสดงของเมืองเวนิสที่รู้จักกันในระดับโลก)  ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา เขาย้ายไปอยู่ที่เมือง La Hulpe ใกล้เมืองบรัสเซลในประเทศเบลเยี่ยม

                                                                    
เนื่องจากเป็นคนเบลเยี่ยมที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส  เขาจึงตั้งชื่อผลงานของเขาทุกชิ้นเป็นภาษาฝรั่งเศส  นิทรรศการปีนั้นที่เมืองฟลอเรนซ์  มีการสัมภาษณ์ศิลปินก่อนที่เขาจะนำผลงานของเขามาจัดแสดงที่เมืองฟลอเรนซ์  ข้าพเจ้าได้ติดตามฟังจากวีดีทัศน์ที่มีให้ดู ณจุดนิทรรศการ จึงนำคำพูดของเขา มาถ่ายทอดลงไว้ณที่นี้ เพื่อให้เราเข้าใจศิลปินและผลงานของเขามากขึ้น ด้วยความหวังว่า จะเป็นแนวทางการสร้างสรรค์ เปิดมุมมองวิถีชีวิต วิธีคิดแก่เรา แก่เยาวชนไทย



นามบัตรผมปรากฏชื่อ Jean-Michel FOLON [ฌ็อง-มิเชล-โฟ-ลงใต้ชื่อมีข้อความว่า Agence du voyage imaginaire - เอเย่นท่องเที่ยวไปกับจินตนาการ  ยี่สิบปีแล้วที่ผมมาใช้ที่นี่เป็นโรงงาน  จากความว่างเปล่าของพื้นที่ร้างในตอนนั้น มาจนบัดนี้  มีอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด  แต่ผมไม่นับวันเวลาที่ผ่านไป ผมนับเพียงงานที่ผมสร้างสรรค์ขึ้นมา   การสร้างสรรค์ทำให้ผมรู้สึกว่ามีชีวิตอยู่จริง  atelier (สถานที่ทำงานผลิตงาน) คืออะไร ถ้ามิใช่พื้นที่ในหัวผม เพราะทุกอย่างที่เห็นอยู่ที่นี่ เกิดจากความคิดในหัวผม  ผมจึงดีใจที่ผลงานของผมมีที่อยู่ที่ตั้งของมันภายในพื้นที่โรงงานนี้ แต่นั่นแหละ งานทั้งหมดนี้กำลังจะออกไปสูดอากาศข้างนอก ไปพักร้อน ณ แดนมหัศจรรย์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่เมืองฟลอเรนซ์  งานเหล่านี้คงมีโอกาสสื่อสารกับใครต่อใครที่ผ่านเข้าไปในเมืองนั้น  บางคนอาจแปลกใจในรูปลักษณ์ของงานแต่ละชิ้น แต่โดยทั่วไปทุกคนจะเข้าใจได้ทันที  ซึ่งนับว่าโชคดีสำหรับผม 
L’allée des pensées - ถนนความคิด  สรุปเนื้อหาที่สำคัญที่สุดในงานสร้างสรรค์ของผม ผมเองก็ไม่เข้าใจอะไรมากนักว่าทำไมสร้างรูปปั้นแบบนั้นแบบนี้  อาจเป็นคนๆเดียวกันที่แต่ละวันคิดอะไรอื่นๆที่แปลกแยกออกไป หรือเป็นคนหลายคนที่คิดอะไรต่างๆกัน  ผมเองก็บอกคุณไม่ได้  ผมสร้างแต่ละรูปตามความคิดที่ผุดขึ้นในหัว และอยากให้ความคิดนั้นมีตัวมีตนขึ้นมา  ทั้งหมดที่เห็นในโรงงานนี้จะจากไปอยู่เมืองฟลอเรนซ์นานสี่เดือน  ที่นี่จะว่างเปล่า อ้างว้างลงไปทันที  ผมจะเหมือนลูกกำพร้าที่ถูกทอดทิ้งนานถึงสี่เดือน  เพราะขาดชีวิตที่เคยอยู่รอบๆตัวผม เพราะโรงงานของศิลปินคืออะไร ถ้ามิใช่ศูนย์รวมชีวิตจิตสำนึกของผู้นั้น  ที่ Belvedere [เบ้ลเวเดเหระ] มีห้องหับหลายห้อง  ผมต้องเติมห้องพวกนั้นให้เต็ม  อาจนำช็อกโกแล็ตมาวางแจกเด็กๆ ของฝากเล็กๆน้อยๆ หรือบรรจุความฝันเข้าไปให้เต็มทั่วทุกห้อง




งานที่ผมทำต้องเกี่ยวข้องกับงานช่างฝีมือมากทีเดียว  ความสัมพันธ์ระหว่างศิลปินกับนายช่างฝีมือนั้นเป็นความงามแบบหนึ่งในชีวิต นายช่างฝีมือสามารถเข้าถึงวัสดุต่างๆได้ลึกซึ้งต่างจากศิลปิน  นอกจากงานวาดเขียนผมยังทำเซรามิค ทำจิตรกรรมกระจกสี  ทำพรมทอเป็นรูปลักษณ์ลวดลายและหล่อทองสัมฤทธิ์ด้วย  ในกระบวนการสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ นายช่างฝีมือแขนงต่างๆได้ช่วยผมมาก  พวกเขาเป็นทั้งเพื่อน ทั้งผู้สนับสนุน ทั้งผู้แนะนำ  ผมเป็นเหมือนหัวหน้าวงดนตรี  หากไม่มีนักดนตรีก็ย่อมไม่มีผลงานอะไรออกมา  เพราะฉะนั้นงานสร้างสรรค์ของผมนั้น เป็นผลงานของคนทั้งทีม ผู้ที่ผมพบ ผู้ที่ผมพูดคุยด้วยในชีวิต มีส่วนในงานแต่ละชิ้นที่ออกมา  เพราะฉะนั้น ผมจึงไม่ชอบเมื่อจะต้องเซ็นชื่อผมคนเดียวลงบนผลงานแต่ละชิ้น  ผมเป็นเพียงผู้ประดิษฐ์จากความคิดที่หลายๆคนช่วยสานขึ้นมา 

เจ้าของงานที่แท้จริงคือ ชีวิต  คือประสบการณ์ คือความประจวบเหมาะ(คือเหตุปัจจัย)ที่อำนวยให้เกิดการสร้างสรรค์งานชิ้นนั้นชิ้นนี้  ในที่สุดศิลปินคือคนที่รู้จักฟังชีวิต รู้จักมองชีวิตด้วยสายตาที่เป็นธรรมและซื่อตรงแล้วพยายามถ่ายทอดชีวิตนั้นออกมา

ก่อนหน้าที่ผมจะจับงานประติมากรรม  กระดาษเป็นพื้นที่ของผมที่ผมใส่ความฝันและจินตนาการลงไปในแต่ละโอกาส  วันหนึ่งลูกชายผมพูดขึ้นว่า "พ่อ พื้นที่น่ะ มิได้อยู่ในท้องฟ้าเท่านั้น แต่อยู่ใกล้ตัว รอบตัวเรา"  ผมเกิดอยากปั้นอะไรขึ้นมา  ประติมากรรมมิใช่ของง่ายเลย ต้องมองดูน่าสนใจจากทุกด้านทุกมุมมอง มันไม่ง่ายเลยที่จะใส่ชีวิตลงไปในดินก้อนหนึ่ง ผมต้องปั้นใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนวันหนึ่งมันเกิดดูดีใช้ได้ขึ้นมา
ในโลกนี้มีอะไรต่ออะไรที่ไม่น่าอภิรมย์นัก เหมือนฝันร้ายที่ย้อนกลับมาหาเราบ่อยๆ  แต่เราต้องไม่ปล่อยความคิดเราไปในแง่ร้าย อย่ามัวเสียเวลากับความคิดแง่ลบทั้งหลาย  เพราะในชีวิตยังมีอะไรอีกมากมายที่สวยงาม  ขอให้ฝันร้ายทั้งหลายมาหาผมในยามกลางคืนเถิด เพื่อที่ผมจะแต่งเติมสิ่งสวยๆงามๆเพิ่มความสุขให้กับกลางวัน
ปกติผมชอบไปเดินเล่นในตลาดขายของเก่าเพราะมีสิ่งของเครื่องใช้สารพัดในชีวิตประจำวัน  ผมชอบไปจับไปดูของพวกนั้น  มันไม่มีค่าอะไรหรอก นอกจากค่าทางใจ เหมือนผมไปรับรู้ส่วนหนึ่งของชีวิตของผู้ที่เคยใช้เคยรักของชิ้นนั้น  บางทีทำให้ผมอยากจะทำให้มันกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่ นำมาชุบชีวิตใหม่ให้มัน ผมคิดว่านี่เองที่เป็นจุดยืนของศิลปะปัจจุบัน และปีกัสโซ่ เป็นผู้ริเริ่มนำวัตถุหลากหลายในชีวิตประจำวันที่คนใช้แล้วทิ้ง มาชุบชีวิตให้มันใหม่ เพราะฉะนั้นบางทีเราเก็บสะสมอะไรที่เราชอบ ที่เราเห็นว่าสวย แม้ในสายตาคนอื่นจะไม่มีค่าอะไรเลย  เราแต่ละคนพยายามอยู่ในแวดล้อมของสิ่งสวยงาม เพราะความงามช่วยให้ชีวิตเราน่าอยู่ขึ้น เช่นทุกเช้าผมมีความสุขทุกครั้งที่เห็นถ้วยกาแฟที่มีไอร้อนๆลอยขึ้น  มันเชิญชวนให้ผมลอยออกไปท่องโลก  สิ่งเล็กสิ่งน้อยเหล่านี้เติมแต่งความงามแก่ชีวิต  ผมมีภาพก๊อปปี้ของจิตรกรรมชั้นครูสองสามภาพแขวนอยู่ในห้องทำงาน เช่นของ Cezanne [เซซาน] ของ Turner [เทอเนอของ Paul Klee [พาอุ๊ล คลี] เป็นต้น แม้เป็นเพียงภาพก๊อปปี้เพราะผมไม่มีเงินซื้อภาพจริง แต่มันมีค่าสำหรับผม  ผมมองชื่นชมทุกวัน และรู้ว่าตลอดชีวิต ผมไม่มีปัญญาสร้างสรรค์งานที่งามเช่นนั้นได้  บางทีการได้เห็นงานฝีมือชั้นครูช่วยให้เราทำสิ่งสวยๆงามๆได้ง่ายขึ้น หรือบางทีเมื่อฟังดนตรีบางประเภท ช่วยให้ผมทำงานได้ดีขึ้นก็มี
ผมขอเพียงสามารถแต่งเติมชีวิตให้กับความฝันแบบเด็กๆของเรา



แผนผังพื้นที่ของป้อม Forte del Belvedere [ฟอรฺเตะ เดล เบ้ลเวเด้เหระ]ที่จัดนิทรรศการครั้งนั้น ในบริเวณใกล้เคียงเป็นที่ตั้งของพระราชวัง  Palazzo Pitti ([ปะล้าซโสะ ปิ๊ดตี] และอุทยานที่ทอดอยู่ด้านหลังที่เรียกกันว่า  Giardino di Boboli [จีอารฺดี๊โน ดิ บอโบ่หลิ]) งานทุกชิ้น จะมีแผ่นป้ายเขียนกำกับชื่อที่ศิลปินตั้งไว้เองในภาษาฝรั่งเศส

ชิ้นนี้ In the wonderland - ในแดนมหัศจรรย์
I still remember - ยังจำได้

กระเป๋าเดินทางหนึ่งใบ กำกับไว้ว่า  the escape -ไปล่ะ   
 
ยืนเขย่งบนปลายเท้า พร้อมที่จะโผบินไป  fly off
 
the traveler - นักเดินทาง 

the big head - คนหัวโต
centaur - เซ็นทอรฺ ครึ่งม้าครึ่งคน

 ประติมากรรมหินอ่อนสีขาว
   รูปหนึ่งกำกับไว้ว่า งู อีกรูปหนึ่ง ผู้หญิง อีกรูปหนึ่ง คลั่งรัก ฯลฯ

 the flying man - มนุษย์ติดปีก

 เหม่อมองไปไกล - far....

 เวลาที่เดินไปเรื่อยๆ - Time


 เส้นทางความคิด - alley of thoughts


รูปปั้นทั้งหลายเน้นที่ศีรษะที่มีรูปลักษณ์ต่างๆกัน สื่อความคิดต่างๆกัน คิดในลักษณะต่างๆกัน
คงอย่างที่เราพูดว่า ครุ่นคิด คิดจนหัวปั่น หัวแหลม หัวทื่อ ฯลฯ  

 ความคิดบางเรื่องอาจทำให้หัวปั่นได้
 ความคิดบางเรื่องอาจปะติดปะต่อ ขาดตอน 
ไปให้ถึงจุดหมายลำบาก
ความคิดบางเรื่องฝังแน่นไม่คลอนแคลนเป็นป้อมปราการ ไม่ยอมแพ้
 อาจมีดนตรีดังอยู่ในหัว
หญิงสาวคนหนึ่งกำลังพยายามเล็งถ่ายภาพที่อยู่ข้างในกระเป๋าเดินทางบนหัวคน  เห็นถ่ายเล็งอยู่นาน จึงเข้าไปแนะให้ถ่ายด้วยวิธีใด ดังที่ข้าพเจ้าถ่ายมาให้ดูให้หายข้องใจ น่าสนใจทีเดียว... (หญิงสาวผู้นั้นมาจากประเทศโปแลนด์ เธอบอกว่าเธอเพิ่งซื้อกล้องและเริ่มใช้วันนั้น ยังใช้ไม่เป็นเลย)

กระเป๋าความคิด หรือกระเป๋าหัวสมอง 
ดูให้เห็นใบหน้าของคนใส่หมวกในกระเป๋า 

 ใครน่ะ

นกหรือเปล่า ?

 ในอีกมุมหนึ่งของสวน จัดเป็น สระปลา - fish fountain 

ชายคนหนึ่งกอดปลา 12 ตัวไว้แนบอก
จะมีน้ำพุพุ่งออกจากปากปลาทั้งสิบสองตัว   
กำกับไว้ว่า ชายสูงสี่เมตร ในสระน้ำที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางแปดเมตร 
(แต่ตอนที่เห็น ไม่มีน้ำพุ่งออก น้ำอาจถูกตัดบางช่วงของวันเพื่อประหยัดน้ำ)




นี่ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่สื่อ การผ่านไปของเวลา - the passing of time
และสิ่งที่เวลาทิ้งไว้ข้างหลัง ... คนขาดตอน!!!

 take off - ออกเรือไปเลย



จากบน Belvedere มองไปโดยรอบ ทัศนียภาพงดงาม
ในยามที่แดดไม่ร้อนจัดเกินไปสำหรับคนไทย น่าอภิรมย์ทีเดียว
เห็นบ้านส่วนตัวหรือวิลลาของชาวเมืองผู้โชคดีที่ฟลอเรนซ์

ไกลออกไปบนเนินเขาอีกฝั่งหนึ่ง เห็นด้านหน้าของวัด
San Miniato al Monte [ซัน มิเนี่ยโตะ อัล โม้นเตะ]
ตามแบบสถาปัตยกรรมเรอแนสซ็องส์อิตาเลียน

ก่อนลงจาก Belvedere แวะไปดื่มอะให้ชื่นใจ
และกวาดตามองเก็บทิวทัศน์ที่งามประทับใจอีกครั้ง
 


ลงจากเนินเขา Belvedere ยังได้แวะไปชมผลงานอื่นๆอีกของ Folon
ที่พระราชวัง Palazzo Vecchio [ปะล้าซโสะ เว็กกิโอ]  
ที่มีภาพวาดสีน้ำและประติมากรรมใหญ่และเล็ก

ไปโดยไม่มีกระเป๋าเดินทาง


ความลับ


และขอจบการนำชมด้วยภาพที่ Folon ตั้งไว้ว่า เพื่อน friends


นิทรรศการปีนั้น ได้ขนผลงาน 240 ชิ้นจากหอศิลป์ของโฟ-ลงเองจากเมือง Montecarlo




ข้าพเจ้าประทับใจในตัวศิลปินที่ทำให้เรามีโอกาสเพลินกับโลกสวยของเราเองบ้างที่เก็บอยู่ในหัวของเรา ที่อาจทำให้เราพยายามทำสิ่งรอบข้างให้สวยให้น่าอยู่ตามไปตามกำลัง  ความงามของสิ่งหนึ่งเหมือนความดีของคนหนึ่ง เป็นกระดานกระโดดต่อความงาม ต่อความดีหลากหลายออกไปได้ไม่รู้จบ



บันทึกเดินทางของโชติรส โกวิทวัฒนพงศ์ 
เมื่อครั้งไปเยือนเมืองฟลอเรนซ์วันที่ ๑๘-๑๙ สิงหาคมปี ๒๐๐๕...