Monday 20 October 2014

ทางรัก ที่ ห้าปฐพี(ไวน์) - Le Cinque Terre

ข้อมูลต่างๆที่ให้ข้างล่างนี้มาจากศูนย์ข้อมูล Informazioni APT Cinque Terre Golfo dei Poeti หรือจากเว็ปนี้ www.aptcinqueterre.sp.it , http://www.italyheaven.co.uk/liguria/ ,  http://www.italyheaven.co.uk/liguria/  และข้อมูลเกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติของดินแดนแถบนี้ที่ http://www.parconazionale5terre.it  และโดยเฉพาะภาพจากมุมสูงดูได้จากที่นี่ https://www.flickr.com/photos/parconazionale5terre/3767812795/in/photostream/

จังหวัด Liguria [ลิกู่เรีย] อยู่บนฝั่งตะวันตกส่วนเว้าเข้าไปของบู๊ตที่เป็นรูปลักษณ์ภูมิประเทศของอิตาลี (เป็นบริเวณอ่าวชื่อ Golfo di Genova [โก๊ลโฟ่ะ ดิ เจ้ะโหน่หวะ] (ดูในภาพข้างล่างนี้)  มีส่วนหนึ่งติดพรมแดนฝรั่งเศส เมือง“หลวง”ของจังหวัดนี้ คือเมือง Genova [เจ้ะโหน่หวะ] และเมืองสำคัญรองลงมาคือเมือง La Spezia [ลา สเป้ะเศี่ย] ที่มีเครื่องหมายดอกจันสีแดงกำกับไว้  
ห้าปฐพี หรือ Le Cinque Terre [เล ชิ้นเกว้ เต่เหร่] (cinque แปลว่า ห้า และ terre แปลว่า แผ่นดิน) อยู่ระหว่างแหลม Punta Mesco [ปุ๊นตะ เม้สโกะ]และ Punto Nero [ปุ๊นโตะ เน่โกร] เป็นแดนปลูกองุ่นมาแต่โบราณกาล ถือกันว่าเป็นหนึ่งในแผ่นดินทองของไวน์มาแต่โบราณ แผ่นดินนี้รวมทั้งหมู่บ้านห้าแห่งของที่นั่น (Monterosso al Mare [มนเตะรดโซะ-อัล-หม่าเหระ], Vernazza [เว้รฺ-หนัดศะ], Corniglia [ก๊อรฺหนี่หยะ], Manarola [ม้านารอหละ] และ Riomaggiore [รี้ออ-มัดจิอ่อเหระ]) ที่ประกอบกันเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของอิตาลี และเป็นอุทยานขนาดเล็กที่สุดด้วย (พื้นที่ประมาณ 4,300 เอเครอ)  ยูเนสโกได้จดทะเบียนเป็นมรดกของมนุษยชาติในปี 1997. หมู่บ้านทั้งห้านี้ตั้งหรือเกาะติดริมหน้าผาของผืนดินแถบนี้ (ดูในภาพข้างล่างต่อไปนี้) จำนวนประชากรที่อยู่ในห้าหมู่บ้านนี้อย่างถาวรมีประมาณ 5000 คน แต่มีนักท่องเที่ยวไปมามิได้ขาด หน้าผาตลอดฝั่งของดินแดนนี้สร้างความตื่นตาตื่นใจ ชายหาดกับน้ำทะเลสีฟ้าเทอร์คอยซ์ (turquoise) รวมกันเป็นแดนรีเวียร่า - Riviera [ริวีเหย่หระ] ของอิตาลี
1. La Spezia   2. Porto Venere   3. Riomaggiore   4. Manarola   5. Corniglia   6. Vernazza 7. Monterosso   8. เส้นทางจากฝั่งเมือง La Speziaไปยังเมือง Lerici ที่ตั้งตรงข้ามกับเมือง Porta venere บนอ่าว Golfo dei Poeti (=The gulf of the Poets, in the allusion to those British poets)  9. Isola Palmaria

          จะชื่นชมภูมิทัศน์ดังกล่าวนั้น ต้องใช้ทางเท้าเท่านั้น คือเดินจากหมู่บ้านหนี่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง เลียบไปตามหน้าผา มีเส้นทางเดินทั้งในระดับต่ำและในระดับบนเนินสูง (และข้าพเจ้าก็ได้เดินไปตามทางเช่นนั้น ไปบนเส้นทางเดินในระดับต่ำ เป็นเส้นทางราบที่เขาตัดไว้อย่างดี เห็นภูมิประเทศที่ทอดไปข้างหน้าบนทางเดิน และทะเลที่ผันแปรไปกับแสงตะวันตลอดเวลาบนเส้นทาง  ถ้าไปจากเมือง Genova หมู่บ้านแรกคือ Monterosso al Mare [มนเตะรดโซะ-อัล-หม่าเหระ] เป็นหมู่บ้านเดียวในห้าหมู่บ้านที่มีหาดใหญ่(no.7)  ถัดไปเป็นหมู่บ้าน Vernazza [เว้รฺ-หนัดศะ] (no.6) ที่ตั้งบนปากแม่น้ำ มีแหลมหินใหญ่ปกป้องหมู่บ้านนี้จากคลื่นและลมทะเล เป็นหมู่บ้านเดียวที่เป็นท่าเรือขึ้นลงที่ปลอดภัยที่สุดในห้าปฐพี นี้  ถัดไปเป็นหมู่บ้าน Corniglia [ก๊อรฺ-หนี่หยะ] (no.5) เป็นหมู่บ้านเดียวที่มิได้ติดฝั่งทะเลแต่เกาะเข้ากับผาสูง มีไร่องุ่นล้อมรอบไปรอบด้าน  ถัดไปเป็นหมู่บ้าน Manarola [ม้านารอหละ] (no.4) และหมู่บ้าน Riomaggiore [รี้ออ-มัดจิอ่อเหระ] (no.3) เกาะแนบไปบนผาสูง มีบ้านเรือนสร้างซ้อนๆกันสูงๆขึ้นไป ทาสีต่างๆเหมือนโมเสกหลากสีที่โดดเด่นทั้งยามกลางวันและกลางคืน เป็นหมู่บ้านแบบฉบับของดินแดนแถบนี้มาตลอดศตวรรษที่ผ่านมา และบนเส้นทางที่เชื่อมหมู่บ้าน Manarola กับหมู่บ้าน Riomaggiore นี้ มี เส้นทางรัก หรือ วิถีสวาท (Via dell’Amore [วี่อ่า เดลละหม่อเหร่]) เป็นส่วนสุดท้ายก่อนเข้าสู่ตัวหมู่บ้าน Riomaggiore    
        ไร่องุ่นทอดตัวเหมือนคลื่นขนานไปบนหน้าผา จากระดับพื้น(ที่สูงจากระดับน้ำทะเลเพียงเล็กน้อย) ไล่ขึ้นไปบนเนินหน้าผา  แนวกำแพงยาวเหยียดทอดตามแนวนอนขนาบไปบนหน้าผา ที่ก่อด้วยก้อนหินของถิ่นที่เรียงซ้อนๆกันไปตลอดความยาวและความสูงโดยไม่ใช้ซีเมนต์แบบใดเชื่อมก้อนหินเหล่านั้นเลย (และที่ยืนหยัดมั่นคงมาได้เป็นศตวรรษๆแล้ว) คั่นและกั้นเป็นเขตเป็นแนว เป็นระเบียงชั้นๆซ้อนขึ้นไปบนหน้าผาสำหรับปลูกต้นองุ่น   การทำสวนองุ่นที่นั่นเป็นไปตามวิถีโบราณไม่เปลี่ยนแปลงมาจนทุกวันนี้ นั่นคือใช้แรงคนปีนขึ้นปีลง หรือเกาะไปกับเชือกและไต่ตามเก็บผลองุ่น  ภาพชีวิตชาวไร่องุ่นที่นี่โดยเฉพาะในเดือนเก็บเกี่ยวผลองุ่น เป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวกระหายอยากไปเห็นนักแล  สภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศทำให้ไวน์ที่ผลิตจากที่นี่ ปานประหนึ่งอาหารทิพย์ มีสีเหลืองทองใสของอำพัน (amber) รสนุ่มนวลปานน้ำผึ้ง ปนด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆของอัลมอนด์ เป็นเอกลักษณ์ไวน์ขาวรสแห้งที่ขึ้นชื่อของที่นั่น ที่เรียกกันว่า ไวน์ Sciacchetrà [สึกีอั๊กเก้ะตระ] ยังมีไวน์ DOC (Denominazione di Origine Controllata ที่ใช้กำกับบนขวดไวน์ว่า ไวน์นั้นเข้ามาตรฐานการควบคุมคุณภาพของสหพันธ์ไวน์ของประเทศ) ของถิ่นนี้  เป็นที่ยอมรับกันว่าไวน์ดินแดนแถบนี้เข้ากับอาหารปลาอาหารทะเลสดๆที่ชนถิ่นนี้รู้จักปรุงขึ้นโดยใช้พืชผักและสมุนไพรต่างๆที่ขึ้นในถิ่นนี้ ปรุงแต่งรสอาหารได้รสชาติอย่างหาที่เทียบกันได้ยากบนคาบสมุทรอิตาลี  (และโดยเฉพาะในหน้าร้อน ปลาแอนโชวี(anchovy หรือปลากะตัก จับกันในทะเลนอกฝั่งหมู่บ้าน Monterosso ด้วยแสงตะเกียงพิเศษ)ที่นิยมกันมาก  อาหารรสชาติถูกปากคนไทยแน่นอน ไม่มันเลี่ยน ไขมันต่ำ กลิ่นหอมพืชสมุนไพรตามธรรมชาติ บวกเข้ากับบรรยากาศเฉพาะของดินแดนห้าปฐพี  (สำหรับข้าพเจ้า Liguria เป็นส่วนของอิตาลีที่เที่ยวได้อย่างสบายใจที่สุด เพราะไม่มีประสบการณ์การถูกคดโกง มีความปลอดภัยสูงไม่ว่าจะเดินไปไหน จะขึ้นจะลงบนเนินบนผาตามลำพัง หรือไปในหมู่บ้าน ร้านค้าเล็กๆ ขายผลิตภัณฑ์พื้นเมือง ผู้คนยิ้มแย้มต้อนรับและเอื้อเฟื้อ สละเวลาพูดคุยกับนักท่องเที่ยวอย่างกันเอง  
        ตัวอย่างชื่อไวน์ของแถบนี้ นอกจากไวน์ Sciacchetrà ยังมี  Colli di Luni และ Colline di Levanto (จากแถบเมือง La Spezia), หรือ Golfo del Tigullio, Riviera Ligure di Ponente หรือ Val Polcevera (จากแถบเมือง Genova) เป็นต้น (ข้อมูลให้ไว้สำหรับคนชอบดื่มชอบชิมไวน์  ไปชิมไปกินที่นั่น รับรองโดนใจ)

เมื่อข้าพเจ้าไปเยือนที่นั่นในปี 2006 ไปเริ่มที่เมือง La Spezia และก็ชอบเมืองนี้ แม้ว่าการขึ้นลงสถานีรถไฟที่นั่นแสนเข็ญจริงๆ ต้องเดินขึ้นลงบันไดสามสิบกว่าขั้น ผ่านเข้าไปบนทางเดินใต้ดิน ขึ้นๆลงๆอีกสามสิบกว่าขั้น นึกถึงกระเป๋าเดินทางหนักไม่ต่ำกว่ายี่สิบกิโลกรัม เหนื่อยจะขาดใจตาย ขาและน่องเป็นจ้ำไปหมดเพราะต้องทั้งเตะทั้งลากและเข็น  อ๋อ ไม่มีคนช่วยแน่นอน  วัยหกสิบกว่าตอนนี้ คงไม่ไปอีก นอกจากจะไปแบบตัวเปล่ามือเปล่า ใส่มันชุดเดียวนั่นแหละอย่างน้อยก็สามสี่วันแล้วกลับเลย  ทำใจได้ไหมล่ะ?
ภาพที่นำมาให้ดู ถ่ายทั้งจากการเดินบนทางเลียบหน้าผาในระดับล่างสุด (ซึ่งบนเส้นทางนี้ จะเป็นการเก็บภาพชายฝั่งทะเลและหน้าผา และภาพถ่ายจากบนเรือที่แล่นเลียบฝั่ง ไปๆมาๆบนดินแดน ห้าปฐพี (จะเป็นการเก็บภาพพื้นที่ของดินแดนห้าปฐพีนี้ และทำให้เห็นว่า ห้าหมู่บ้านแทรกหรือเกาะแนบติดบนหน้าผาอย่างไร รวมทั้งเห็นดินแดนแถบนี้  ว่าเขาปลูกไร่องุ่นบนเนินเขาสูงชันแบบไหน) และหากอยากได้ภาพครบทุกมุมมอง ก็ต้องขึ้นไปถึงยอดเนิน และเดินไปบนยอดเนินจากลูกหนึ่งไปอีกลูกหนึ่ง หรือขึ้นไปบนยอดเขาเหนือแต่ละหมู่บ้าน แล้วถ่ายรูปหมู่บ้านทั้งห้ากับทัศนียภาพจากมุมสูงลงสู่ทะเล (ข้าพเจ้ามิได้มีโอกาสขึ้นไปเดินบนยอดสูงของภูเขาในแถบนี้)  เพราะฉะนั้นภาพที่นำมาให้ชมของแต่ละหมู่บ้าน จึงมีภาพต่างมุมมองดังกล่าว 
        เมือง La Spezia ริมฝั่งทะเล เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางไปบนดินแดน ห้าปฐพี


ลงเรือจาก La Spezia ไปที่ Porto Venere (หมายเลข 2บนแผนที่)
ภาพถ่ายจากบนเรือเมื่อเข้าใกล้เมือง Porto Venere หอระฆังของอาคารบอกว่านั่นคือวัด วัดทางซ้ายมือคือ San Pietro บนปลายแหลมสุดของเมือง  ทางขวามิคือ San Lorenzo และบนเนินเห็นส่วนหนึ่งของกำแพงปราสาท Castello "Castrum Superior"



 Porto Venere แม้จะไม่ใช่หนึ่งในหมู่บ้านห้าแห่งชองดินแดน ห้าปฐพี แต่ทำเลของเมืองนี้ทำให้เป็นประตูเข้าสู่แดนห้าปฐพี โดยเฉพาะเมื่อไปจากเมือง La Spezia มีเกาะเล็กอีกสามเกาะในทะเลใกล้เมือง Porto Venere นี้ ที่รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแดนมรดกโลกณห้าปฐพี สามเกาะเล็กๆนั้นคือ เกาะ Palmaria, Tino and Tinetto
 หลังหน้าผาที่อยู่ด้านหลังของวัด San Pietro
มุมนี้ที่น่าสนใจเป็นพิเศษเพราะกำกับชื่อไว้ว่า Grotta "Arpaia" o Byron.
มีชื่อกวีอังกฤษ Lord Byron นั่นเอง
ผาหินสีต่างกัน
เกาะหินล้วนๆเล็กๆชื่อ Scoglio Ferale ที่มีคนศรัทธาไปปักไม้กางเขนบนยอดเกาะ

 รถไฟเล็กที่นำไปตามซอกเล็กซอกน้อยบนถนนในเมือง Porto Venere

ประตูเข้าไปในถนนที่เป็นตรอกกลางเมืองมากกว่าเป็นถนนจริงๆ เรียกว่า Via G. Capellini

 ร้านอาหารเล็กๆ ดูสะอาดตามาก
 ร้านขายไวน์
 เดินสำรวจไปตามเส้นทางหมู่บ้านนี้ไปเรื่อยๆ  
สุดทางเดินกลางชุมชน ทัศนียภาพเปิดกว้างและมั่นคง สูงท่วมหัว
 

ในกำแพง มีช่องเปิดเหมือนประตูที่เปืดไปสู่เหวลึกข้างล่าง พร้อมแผ่นป้ายเจาะจงชื่อและคำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษเลยว่า  Grotto Byron (Arpaia) This grotto was the inspiration of Lord Byron. It records the inspiration of the immortal poet who as a daring swimmer defied the waves of the sea from Porto Venere to Lerici. (Lerici คือตำแหน่งหมายเลข 8 บนแผนที่)

มีเรื่องเล่าไว้ว่า Byron ได้ว่ายน้ำจากฝั่งตรงนั้น (เมือง Porto Venere) ไปยังเมือง Lerici ข้อมูลจากหนังสืออื่นที่เคยอ่านเล่าว่า Byron, Shelly และกวีอังกฤษอีกหลายคน ต่างคลั่งไคล้การว่ายน้ำในทะเล สะใจกับการได้โต้ลมและคลื่นแรง  เหมือนเป็นการคลายเครียดและมีความพึงพอใจจากความเจ็บปวด(ปางตาย)ในทะเล (แบบ masochist)  Byron เคยว่ายน้ำข้ามทะเลที่ช่องแคบ Hellespoint (ปัจจุบันชื่อ Dardanelles) บนฝั่งทะเลทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตุรกี ที่กว้างราวสามไมล์ครึ่ง เชื่อมฝั่งทะเล Aegean Sea กับ Sea of Marmara. Byron ได้บันทึกการว่ายน้ำครั้งนั้นไว้อย่างมีนัยยะน่าคิดว่า "I plume myself on this achievement more than I could possibly do any kind of glory, political, poetical or rhetorical". (ข้าพเจ้าภูมิใจยิ่งนัก ยิ่งกว่าเกียรติยศ เกียรติศักดิ์ใดที่มาจากการเมือง จากวีนิพนธ์หรือจากวาทะศิลป์)
ข้าพเจ้าชะโงกหน้าลงไปดูหน้าผาตรงนั้น ตรงที่เชื่อกันว่า Byron ได้กระโดดลงทะเลและว่ายข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามที่เมือง Lerici.
ข้าพเจ้าชอบโคลงกลอนของ Byron บางบทที่เคยอ่านว่าแสนจะโรแมนติก แต่ยินดียิ่งที่คำพูดนี้มิได้โดนใจให้กระโดดตามลงไป 




ทางการที่นี่ต้องทำแนวกั้นไว้ เพราะอาจเคยมีผู้อยากลองอยากทำตาม Byron.  
ดีไปเลย! หนุ่มอิตาเลียนคนหนึ่งพบมุมอ่านหนังสือพิมพ์ในร่มเงาอย่างสงบตรงนั้น
อีกคนก็ท้าทายด้วยการปีนลงไปบนโขดหินใกล้ทะเลเข้าไปอีก ได้มุมสงบส่วนตัวเช่นกัน
 



อาคารต่างๆรวมทั้งวัดและป้อมปราการหรือปราสาท สร้างด้วยหินจากฝั่งทะเลนี้ทั้งนั้น
ฝั่งทะเลตรงข้าม น่าจะเป็นฝั่งของเมือง Lerici
 ข้าพเจ้าหันหลังกลับเดินไปทิศทางที่ตั้งของวัด San Pietro
เป็นบ้านของพระเจ้าแบบเรียบง่ายแต่มั่นคง ยืนหยัดท้าทายลมและคลื่นมาหลายศตวรรษแล้ว
 ใกล้ปลายแหลมของเมือง Porto Venere เกาะIsola Palmaria
เหมือนอยู่แค่เอื้อมจริงๆ
เมื่อลงจากวัด San Pietro มีทางเดินขึ้นไปยังปราสาทบนยอดเขา 
ผ่านไปเห็นรูปปั้นที่ตั้งชื่อไว้ว่า Mother Nature (อิ่มอวบและสมบูรณ์)
แม่นางนั่งสบายๆแต่ไม่มีทีท่าว่าจะถอยออกจากโขดหินฐานมั่นของนาง 
ตามองเขม็งออกไปในทะเล เหมือนจะหยั่งฟ้าดิน
มีคำจารึกใกล้ๆว่า "Mater Naturae omaggio a Portovenere dello scultore Scozelli" แปลได้ว่า Mother Nature - homage to Portovenere from the sculptor Scozelli.
หมดเวลาที่นี่แล้ว ข้าพเจ้าจับรถไฟไปตั้งต้นที่หมู่บ้าน เหนือสุดบนฝั่งดินแดน ห้าปฐพี 

ภาพที่นำมาลง ไล่จากหมู่บ้าน Monterosso al Mare [มนเตะรดโซะ-อัล-หม่าเหระ] เป็นหมู่บ้านเดียวในห้าหมู่บ้านที่มีหาดใหญ่  ภาพจากสถานีรถไฟลงไปตามทางสู่เมือง Vernazza










 มองย้อนกลับไปดูหมู่บ้าน Monterosso al Mare ที่เดินจากมา
ภาพบนเมื่อมองหมู่บ้าน Monterosso จากทะเลเข้าสู่ฝั่ง
และมองไกลไปยังหมู่บ้าน Vernazza ที่อยู่เบื้องหน้า ภาพบนนี้
หมู่บ้าน Vernazza [เว้รฺ-หนัดศะ] ที่ตั้งบนปากแม่น้ำ มีแหลมหินใหญ่ปกป้องหมู่บ้านนี้จากคลื่นและลมทะเล เป็นหมู่บ้านเดียวที่เป็นท่าเรือใหญ่สำคัญที่ปลอดภัยที่สุดใน ห้าปฐพี นี้ 




 พ่อหนุ่มคนนี้ปลีกวิเวกไปนอนอาบแดดบนหน้าผาชั้นล่าง 
ไม่รู้ว่าปีนลงไปหรืออย่างไร

 ข้าพเจ้ากำลังถ่ายภาพจากเรือที่กำลังเข้าเทียบฝั่งหมู่บ้านนั้น
และก็ให้เผอิญที่ตรงจังหวะที่พ่อหนุ่มลุกขึ้น ดิ่งตัวลงในทะเล
เรือเทียบฝั่งแล้ว เลยไม่รู้ว่า พ่อหนุ่มคนนั้น 
จะปีนกลับขึ้นไปหน้าผานั้นอย่างไรหรือไม่
หมู่บ้านนี้พูดได้ว่าไม่มีชายหาด 
แต่ชาวบ้านก็ยังพอใจกับทรายผืนเล็กๆรอบท่าจอดเรือ


ชาวอิตาเลียนจับจองหินเพื่อนอนอาบแดด หรือนอนบนพื้นหินก็ยังดี
ในความร้อนของเดือนสิงหาคม ขนาดเดินสวมรองเท้า พื้นดินก็ร้อนระอุจะแย่อยู่แล้ว. ชาวอิตาเลียนกลับชอบนอนย่างตัวเองไปบนแผ่นหินที่น่าจะร้อนเหมือน hot-plate. 
They really enjoy grilling themselves to a perfect "well-done".
พบหญิงกลางคนชาวอิตาเลียนหลายคนบนเรือ ต่างมีสัมภาระเตรียมพร้อมสำหรับการไปนอนอาบแดด. ไม่รู้ว่าพวกเธอรู้ตัวรึเปล่าว่า ผิวหนังพวกเธอดูหนาและดำเหมือนผิวหนังช้างก็ไม่ปาน


เด็กสมัยนี้ไม่สร้างปราสาททรายกันแล้ว แต่ปั้นตัว monster แทน


ดูลักษณะหิน มันไม่น่าจะเป็นที่นั่งที่นอนได้
พื้นถนนในหมู่บ้านปูด้วยกรวดก้อนเล็กๆ ยังเตือนให้รู้ร้อน เพราะเป็นรูปลักษณ์ของดวงอาทิตย์ในคริสต์ศิลป์แบบหนึ่ง เห็นได้ชัดถึงความร้อนแรงของรังสีแต่ละลำ ที่สั่นเป็นคลื่นไฟฟ้าไปในอากาศเลยทีเดียว

อีกมุมหนึ่ง เมื่อมองจากทะเลไปที่หมู่บ้าน Vernazza
หมู่บ้าน Corniglia [ก๊อรฺ-หนี่หยะ] เป็นหมู่บ้านเดียวที่มิได้ติดฝั่งทะเลแต่เกาะเข้ากับผาสูง มีไร่องุ่นล้อมรอบไปรอบด้าน  ข้าพเจ้ามิได้มีภาพจากหมู่บ้านนี้ เพราะต้องปีนขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อถ่ายภาพจากมุมสูง มองลงมายังหมู่บ้าน วันนั้นปีนขึ้นไปไม่ไหว  จึงเดินไปสถานีรถไฟ Corniglia

จากที่นั่นมีเส้นทางเดินไปยังหมู่บ้าน Manarola  ภาพข้างล่างนี้คือหมู่บ้าน Manarola.
ถ่ายจากสถานีรถไฟที่ Corniglia.
หมู่บ้าน Manarola [ม้านารอหละ] และหมู่บ้าน Riomaggiore [รี้ออ-มัดจิอ่อเหระ] ทั้งสองหมู่บ้านเกาะแนบไปบนผาสูง มีบ้านเรือนสร้างซ้อนๆกันสูงๆขึ้นไป ทาสีต่างๆเหมือนโมเสกหลากสีที่โดดเด่นทั้งยามกลางวันและกลางคืน เป็นหมู่บ้านแบบฉบับของดินแดนแถบนี้ มาตลอดศตวรรษที่ผ่านมา
เดินมุ่งหน้าขึ้นๆลงๆไปตามทางบนหน้าผา เลียบฝั่งทะเล



 






หันกลับไปดูเส้นทางที่เดินมาจากสถานี Corniglia
ไกลลิบโน่นขวาของโขดหินที่ยื่นลงสู่ทะเล



รูปปั้นแม่สาวชาวไร่องุ่น สมัยใหม่ (สวยที่ไหนกั๊น)
ใกล้ถีงหมู่บ้านแล้ว ทิวทัศน์สวยงาม


เดินเข้าไปในหมู่บ้าน มุมหนึ่ง
และบนเส้นทางที่เชื่อมหมู่บ้าน Manarola กับหมู่บ้าน Riomaggiore นี้ มี ทางรัก หรือ วิถีสวาท
Via dell’Amore [วี่อ่า เดลละหม่อเหร่เป็นส่วนสุดท้ายก่อนเข้าสู่ตัวหมู่บ้าน Riomaggiore.
 เมื่อหลวมตัวหลงไปบนเส้นทางรักๆใคร่ๆ มันย่อมหาทางออกลำบาก
 ทั้งหิวข้าว หิวน้ำ ไม่มีอะไรขายแล้วยามนั้น
พบท่อน้ำพุเล็กๆนี้ รีบรี่เข้าไปดื่มน้ำซะจนอิ่ม เอาหัวเข้าไปใต้ก๊อกน้ำ รดซะชุ่มไปเลย
ผู้คนที่ผ่านไปมา มองดูข้าพเจ้ายิ้มๆ เพื่อแก้เขิน จึงเชิญชวนให้ดื่มน้ำจากที่นั่น
บอกว่านั่นน้ำแห่งความรักนะคะ
มีเสียงถามว่า แล้วดีไหม? (Is it good?)
ตอบทันทีเลยว่า ดีกว่าความรักแน่นอน! (Better than love!) 555
เกือบหกโมงเย็นแล้ว เดินมาจากหมู่บ้านบนเหนือสุด (หมายเลข 7)
ตั้งแต่เช้า ทั้งหิวข้าว หิวน้ำ และหน้าแดงตัวดำ แห้งเหี่ยวด้วยความร้อน
ฉันใดฉันนั้นความรักทำให้ลืมทุกอย่าง ผลักดันเท้าให้ย่างต่อไปบนวิถีสวาท
 ป้ายชี้ทางไปยัง Bar dell'Amore หรือบาร์รัก
ไม่ยอมเสียเวลาในบาร์ ไม่ใช่วิสัยเรา คำบาร์มีนัยยะที่ไม่โดนใจ กัดฟันเดินต่อไป
และบนเส้นทางรัก สิ่งที่เห็น ทำให้มองเห็นรักในแง่มุมต่างๆ
ขอใช้ภาษาอังกฤษตรงนี้แทน สะดวกใจกว่า
Love needs to be constantly refreshed...
Love sometimes goes straight...
other times turns round...
Love is a lonely track...
Love is a shared route...
Love is walking above a precipice...
 
Love is groping your way in a tunnel...
Love is promise....
 Love is padlock...

Love is cactus...
Love is herb...
Love is colourful...
Love is confusing...
Love is a plant... a natural resource...
Love keeps you walking...
Love needs a break...
Love comes all the way...
Love will keep you going...
Love emerges from torrent...
Love is hanging in there...
Love finds its corner...
Love is meeting, looking ahead, hoping...
And love always finds an open door !

ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ อ้อยอิ่งไปมา กว่าจะเดินหลุดออกจากบ่วงรัก กลับสู่เส้นทางที่ควรเดินไป... สู่การหลุดพ้น
ชาวอิตาเลียนบอกว่าเดินเพียงสิบยี่สิบนาทีก็สุดทางแล้ว พวกเขาวิ่งผ่านรักไปด้วยความเร็วสินะ
Love can be short-lived!
ต้องจับรถไฟกลับโรงแรมที่ La Spezia แล้ว เย็นนั้นมิได้อยู่คอยดูความตระการตาของแสงเงินแสงสุดท้ายบนทะเลเมดิเตอเรเนียน ตลอดวันเห็นแต่ความร้อนแรง จ้าบาดตาและแผดเผาผิวสุดๆเลย
ถึงโรงแรมราวสามทุ่ม ทานอาหารมื้อเดียวของวันนั้น แล้วหลับเป็นตาย พอกันทีความรัก!

ส่งท้ายด้วยภาพถ่ายจากมุมสูง 
ภาพของคนอื่น เจาะจงที่มาเท่าที่ทำได้
 ภาพบนและล่างนี้ คือหมู่บ้าน Vernazza
(ภาพจากอินเตอเน็ต จำไม่ได้แล้วว่าจากที่ไหน)

 ภาพบนนี้คือ หมู่บ้าน Corniglia. จาก wikipedia.
ผลงานของ Chensijuan นำลงเพจวิกิพีเดียวันที่ 30 June 2012.
ภาพสุดท้ายนี้คือหมู่บ้าน Riomaggiore เป็นผลงานของ Chensiyuan
นำลงในWikipedia เมื่อ 18 June 2012.

บันทึกเดินทางไปที่นั่น ในเดือนสิงหาคม ปี ๒๐๐๖
หนึ่งวันเดินบนเส้นทาง อีกหนึ่งวันนั่งเรือเลียบตลอดฝั่งและอีกหนึ่งวันลุยไปตามหมู่บ้าน
นำลงบล็อก ณ วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๗.