Saturday 29 August 2015

ตามดูฮวามู่หลัน Why Hua Mulan



ทำไมติดตามดู ฮวามู่หลัน - TV series Hua Mulan


เริ่มด้วยการดูตอนหนึ่งในไทยพีบีเอส เป็นตอนสอง เห็นมีขนบธรรมเนียมของการปักผ้าไหม เลยสนใจ  แต่พลาดดูตอนถัดไปและไม่ได้ดูตอนแรก. ตามเข้าไปดูในไทยพีบีเอสว่ามีการให้ดูย้อนหลังไหม .. ไม่มีหรือหาลิงค์ไม่เจอ   ลองเข้าไปใน youtube พบว่ามีเป็นชุดเลย พูดจีนล้วน  ดูมันต่อไปจนจบ เข้าใจมั่งไม่เข้าใจมั่ง หลับคาเรื่องก็เคย   แต่นิสัยส่วนตัวที่ควบคุมยากเหมือนม้าพยศ ทำให้ดูตั้งแต่ต้นจนจบ.. ตรากตรำ ไม่เป็นอันกินอันนอน.  คิดดูแล้วกัน หนังทั้งชุดนี้มี 48 ตอน แต่ละตอน 45 นาที.  ถ้าดูวันละตอนคือ 48 วัน  ดูทั้งชุดเท่ากับเจียดเวลาในชีวิตที่เหลือของเราไป 2160 นาที หรือ 201 ชั่วโมง  นี่ดูโดยไม่หยุดคิดนะ.  ดูจบแล้ว ยังไม่สะใจ มีอะไรคาใจยังไงพิกลอยู่.  เนื้อเรื่องมันเข้าสิงทั้งใจทั้งสมอง อาจเพราะไม่ได้เข้าใจโดยตลอดด้วยฟังลูกเดียว ไม่สะใจ ความที่ไม่ได้เข้าใจภาษาจีนนัก.  คลิกไปมาพบเวอชั่นจีน บรรยายภาษาจีนและอังกฤษของ CCTV ของจีน  เลยเริ่มดูใหม่ ตั้งแต่ต้นจนจบเหมือนกัน.  บอกตัวเองว่า บ้าไปแล้วจริงๆ  วันหนึ่งดูติดต่อกันสามสี่ถึงห้าตอน ตั้งแต่ตื่นเลย  ดูติดต่อมาเป็นเดือน  จดโน้ตไปด้วยนะ  ยิ่งกว่าฟังเล็กเชอร์   ดีที่เป็น youtube หยุดได้ ย้อนได้ ทำให้ได้เห็นและพิจารณาการแปลเทียบภาษาอังกฤษ-จีน. 


         เวอชั่นพากย์ไทยในช่องไทยพีบีเอส ดูเพียงไม่กี่ตอนเพราะเสียงพากษ์ประเภท “tenderized” โดยเฉพาะเสียงจริงของนักแสดงฝ่ายหญิง(ฮวามู่หลัน)ออกจะห้วน  ภาษาพูดในภาษาจีนสั้น ไม่มีคำลงท้าย มักไม่ทอดเสียงนอกจากเมื่อมีคำอุทานซึ่งก็ใช้อยู่ไม่กี่คำ. การทอดเสียงลงท้าย เท่าที่ฟังตามมาทั้งชุด  มีอยู่คำเดียว คือ ที่แปลว่า “ดี” ซึ่งผู้แสดงเช่นจักรพรรดิทั่วป๋าเทา ใช้คำนี้บ่อยๆ เมื่อมีผู้เสนอความคิด แผนหรือนโยบายศึกที่เขาพอใจ  เขาออกเสียงว่า [ห่า..ว] บางทีสั้นๆก็เป็น [เห่า] เป็นต้น.  เวอชั่นพากย์ไทยที่แปลมาก็ไม่ดลใจนัก คลาดเคลื่อนก็มี ภาษาอังกฤษก็ไม่คงเส้นคงวา  คิดว่าใช้คนแปลหลายคนเพราะมีถึง 48 ตอน.  ข้าพเจ้าชอบฟังเสียงของดาราแต่ละคนเอง  เสียงและวิธีการพูดเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง และอาจบ่งบอกบุคลิกของตัวละครและของนักแสดง  รวมทั้งเป็นข้อมูลอย่างหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงภาษา ภาษาจีนกลาง ภาษาถิ่น และการใช้ภาษาจีนในปัจจุบัน.  บทบรรยายภาษาจีนในหนังชุดนี้ใช้อักษร simplified chinese characters  และดูเหมือนว่า ภาษาจีนในหนังชุดนี้ ก็เป็นแบบ simplified structures เช่นกัน. โครงสร้างประโยคในภาษาจีนปัจจุบันสั้น ห้วน ขาดความประณีต. ในมุมมองของข้าพเจ้า หลังจากฟังมาเดือนสองเดือน ภาษาไม่สวย  แต่ในภาษา “สูง” ขึ้นอีกระดับหนึ่ง เช่นการเจรจาระหว่างแม่ทัพเซี่ยกับโม่เจียง/ตัวหลุน ใช้ภาษาคลาซสิกมาโต้ตอบกัน ในแบบการโคว้ตสำนวน คำคม แง่คิดจากปรัชญาขงจื้อ หรือจากปรัชญาของลัทธิเล่าจื้อ ซึ่งมีโครงสร้างประโยคเป็นสี่หรือห้าอักษร. โครงสร้างของสำนวนดังกล่าวก็เป็นโครงสร้างประโยคในตำราพิชัยสงครามของจีนด้วย.  สำนวนไทยจำนวนมากมาจากสำนวนจีนเหล่านี้.  การแปลสำนวนเหล่านี้ควรจะแปลเอาความ หรือการเจาะลึกนัยยะของอักษรแต่ละตัว?  ได้แง่คิดเรื่องการแปลกับการถอดความที่ให้อรรถรสต่างกัน.  เมื่อดูหนงัชุดนี้ ต้องใช้แว่นขยายไปจ่อที่จอคอมฯเพื่อลอกภาษาจีน บางตอน บางสำนวน ศัพท์และชื่อ เพราะต้องการเจาะลึกที่มาของคำแต่ละคำ.  ทุ่มเทยิ่งกว่าเขียนวิทยานิพนธ์ฝรั่งเศส. ได้คิดเทียบโครงสร้างประโยคพื้นฐานภาษาจีนภาษาไทย โดยเฉพาะโครงสร้างสำนวนสามคำ สี่คำ.  ชัดยิ่งกว่าชัด เราอยู่ใต้อิทธิพลจีนทุก..ทุกเรื่องถ้าไม่มีพุทธศาสนามาช่วยเปิดอีกหนึ่งช่องทาง... 
            ทั้งหมดนี้ด้วยมีเดียใหม่ๆ ที่เป็นเครื่องมือการเรียนรู้ที่ดีเลิศ.  ถามตัวเองว่า ตรากตรำจนทำลายสุขภาพตัวเองไปนาน เวลาที่เสียไปนั้น มันสนุกไหม?  คุ้มไหม? ให้อะไรแก่เราหรือเปล่า?   วันนี้หลังจากดูจบทั้งชุดสองครั้ง จึงต้องมาเขียน  ขณะเขียนยังต้องย้อนกลับไปดูหลายตอน.  ถ้าดูอีกรอบทั้งชุด อาจสอบจอหงวนผ่าน...


บทความของข้าพเจ้าเรื่องฮวามู่หลันนี้ แบ่งเป็นสามตอน
1.     ที่มาและเนื้อเรื่องของหนังทีวีชุดฮวามู่หลัน เวอชั่นของ CCTV จีน (อยู่ต่อไปข้างล่างนี้)
2.     บนเส้นทางสายไหม
3.     รักระหว่างรบ
----------------------------------------------------------------------------------------

ที่มาของเรื่องฮวามู่หลัน
มีเพลงลำนำพื้นบ้านสมัยราชวงศ์เว่ย (North Wei Dynasty, 386-557 AD.)  ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง  มี 62 บันทัด เป็นอักษรจีนทั้งหมด 332 ตัว  เล่าเรื่องของมู่หลัน (兰诗)  รวมอยู่ในประมวลบทกวี Yuefu 乐府诗集》宋 郭茂倩  (สมัยราชวงศ์ถัง และราชวงศ์ซ่ง ) 
เพลงลำนำนี้เองที่เป็นจุดกำเนิดของงานเขียนทุกแบบทุกชนิดในยุคต่อๆมาที่แต่งขึ้นเป็นนวนิยาย ละคร อุปรากร ภาพยนตร์จอใหญ่ จอเล็ก เกี่ยวกับชีวิตของมู่หลัน.  แน่นอนไกลจากเนื้อหาดั้งเดิมออกไปมากขึ้นๆ แล้วแต่ว่าต้องการนำประเด็นใดไปพัฒนา สร้างเรื่องเพื่อจุดมุ่งหมายการเมืองในช่วงไหนของสังคมจีน.  ใจความในลำนำเพลงดั้งเดิมเล่าถึง เด็กผู้หญิงชื่อมู่หลันไปเข้าเกณฑ์ทหารแทนพ่อผู้ไม่แข็งแรง ครอบครัวไม่มีลูกผู้ชาย เธอตัดสินใจออกจากบ้านไปรับใช้ชาติแทนพ่อ.  สมัยนั้นในจีนแผ่นดินใหญ่ ชนเผ่าเร่ร่อน(เช่นพวกฮั่น-Huns) มักบุกโจมตีรุกรานเผ่าต่างๆบนแผ่นดินอันกว้างใหญ่นั้น  เผ่าใดมีกำลังเหนือกว่าก็ขยายดินแดนออกไป. การรุกรานหรือการทำศึกเป็นวิถีชีวิตแบบหนึ่ง และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการสร้างกำแพงเมืองจีน ที่ทอดเป็นแนวยาวจากตะวันออกไปตะวันตก ตลอดพรมแดนในภาคเหนือ ตั้งแต่เมื่อราว 700 ก่อนคริสตกาล.  กำแพงส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุดคือส่วนที่จิ๋นซีฮ่องเต้(จักรพรรดิผู้รวมเผ่าต่างๆเข้าป็นประเทศจีน) สร้างขึ้นระหว่างปี 220-206 ก่อนคริสตกาล.   การโจมตีชิงดินแดนกันยังคงมีต่อมา. ในคริสต์ศตวรรษที่ 4-5 ยุคที่มีเรื่องเล่าของฮวามู่หลันก็เช่นกัน.  มู่หลันได้ไปทำหน้าที่ปกป้องชาติ  เป็นทหารอยู่สิบสองปี รอดตายจากสนามรบมาได้  มีคุณงามความดี  เมื่อสงครามสงบลงแล้ว แทนที่จะรับตำแหน่งใหญ่โตที่จักรพรรดิมอบให้เธอ  เธอขอกลับบ้านไปเป็นสามัญชน  ตอนจบเท่านั้นที่เพื่อนทหารร่วมรบด้วยกันมา รู้ว่าเธอเป็นผู้หญิง.

          ดังกล่าวมา เนื้อหาเรื่องนี้ได้ถูกนำไปแต่งใหม่ ปรับใหม่ เป็นบทเพลง จัดเป็นละคร อุปรากร เป็นภาพยนต์อย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน.  เรื่องที่ข้าพเจ้าดูนี้ เป็นซีรีส์ของ CCTV-1 ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่นำออกอากาศระหว่างวันที่ 18 กรกฎาคม 2013-วันที่14 สิงหาคม 2013. ชื่อในภาษาจีนว่า  花木兰传奇 / Hua Mu Lan Chuan Qi / The story of Hua Mulan.
            ข้าพเจ้าไม่ได้ดูเรื่องฮวามู่หลันในเวอชั่นอื่นใด รายละเอียดเนื้อหาในเวอชั่นเหล่านั้นเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าไม่รู้.  จึงจะพูดถึงเรื่องที่ข้าพเจ้าดูเท่านั้น และเขียนจากประสบการณ์ตรงจากหนังชุดนี้ เหมือนดูหนังดูละครเรื่องหนึ่ง เนื้อหาตรงกับประวัติศาสตร์จีนยุคนั้นมากน้อยเพียงใด หรือสอดคล้องกับเรื่องเล่าในลำนำเพลงมู่หลันหรือไม่นั้น ไม่ใช่ประเด็นในการเขียน  เพราะนี่ไม่ใช่หนังสารคดีประวัติศาสตร์  แต่เป็นสาระบันเทิงเรื่องหนึ่ง เป็นนวนิยายเรื่องหนึ่ง จึงจะพิจารณาการพัฒนาและการขับเคลื่อนนวนิยายนี้จากตอนหนึ่งไปสู่ตอนอื่นๆ  การถ่ายทำ  บทบาทของตัวละคร  บริบทด้านขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นสำคัญ.
ติดตามดูเวอชั่นฉบับบรรยายจีน-อังกฤษได้ที่ลิงค์นี้ ตั้งแต่ตอนที่ 1 เป็นต้นไป

เนื้อเรื่องในซีรีส์ชุดฮวามู่หลันปี 2013
ตัวละครในภาพบนนี้คือ จากซ้ายไปขวา > ยาย  พ่อของมู่หลัน  โม่เจียง/เจ้าชายตัวหลุน 
มู่หลัน/ฮวาหู  ปาครูเฒ่า  จินฉันจื่อ(มหาอำมาตย์ของโหรวหรัน)  และแม่ของมู่หลัน

            นวนิยายเรื่องนี้ใช้บริบทสังคมจีนในคริสต์ศตวรรษที่ 4-5. เว่ย กับ โหรวหรัน สองก๊ก ( หรือ ,[กั๋ว] ในภาษาจีนกลาง) ที่มีพรมแดนติดกัน เป็นคู่แข่งหรือศัตรูกัน ทำศึกกันมาปีแล้วปีเล่า.  ฝ่ายเว่ยมีเจ้าชาย ทั่วป๋าเทา (Tuaba Tao) เป็นแม่ทัพ  ฝ่ายโหรวหรันมีมหาอำมาตย์จินฉันจื่อ(Jin Can Zi) เป็นผู้วางนโยบายการศึกทั้งหมดในนามของข่านหัวหน้าเผ่า.  ฉากแรกในสนามรบ ทั่วป๋าเทา(เว่ยกั๋ว)ได้ข่าวว่าจักรพรรดิผู้พ่อไปสวรรค์แล้วและเกิดความวุ่นวายภายในราชสำนัก.  ทั้งๆที่การศึกกำลังเป็นต่อ ทั่วป๋าเทาได้เสนอให้ยุติสงครามระหว่างกัน  และหวังจะใช้การแต่งงานระหว่างสองก๊กเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี.  ก๊กโหรวหรันมีแนวโน้มฝักใฝ่สงครามและการใช้กำลังแย่งชิงดินแดน  ออกจะคลางแคลงใจ ภายหลังจึงได้รู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงของการขอสงบศึก.  เมื่อถึงจุดประนีประนอมระหว่างทั้งสองก๊ก  โหรวหรันตกลงตามหลักการ และได้ขอให้ก๊กเว่ยที่มีชื่อเสียงในด้านการทอการปักผ้าไหม ปักผ้าไหมวิวาห์ ให้เจ้าหญิงจากก๊กเว่ยนำติดตัวไปโหรวหรันเมื่อเข้าพิธีแต่งงาน.  ภาพที่จินฉันจื่อเสนอให้ปัก เป็นภาพดอกไม้สี่ฤดู. เขาส่งภาพวาดไปให้เว่ย เจาะจงขอผ้าปักไหมวิวาห์ตามแบบนั้นเลย.  มีดอกไม้ทั้งผืนแผ่ออกเป็นแนวยาวสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทั้งสิ้น 100 ดอก.  ข้อเสนอดังกล่าวเป็นเพียงฉากหน้า เพราะการปักดอกไม้ 100 ดอกจากสี่ฤดูให้เป็นผืนเดียวติดต่อกันไปให้สมดุลสมบูรณ์โดยไม่มีรอยต่อนั้นยากมาก.  จินฉันจื่อจงใจเลือกภาพที่ยากที่สุด. ในหมู่ดอกไม้ทั้งหมด มีดอกซินอี้ฮวา (辛夷花 magnolia)  รวมอยู่ด้วย แทรกเป็นกิ่งเป็นช่อเลย ทั้งๆที่จินฉันจื่อรู้ดีว่า จักรพรรดิเว่ยได้ออกกฎห้ามการปักการวาดดอกไม้ชนิดนี้  จงใจบีบคั้นความรู้สึกของฝ่ายเว่ย.  ความที่บ้านเมืองยังไม่พร้อมที่จะทำศึกต่อ ทั่วป๋าเทาจักรพรรดิเว่ยองค์ใหม่ได้กำหนดให้หมู่บ้านอู่เฟิ่งกู (Wu Feng Valley) ที่มีชื่อเสียงในเรื่องไหม เป็นผู้รับหน้าที่ปักผ้าวิวาห์ตามที่ฝ่ายโหรวหรันขอมา. ได้สั่งให้แม่ทัพเซี่ยมาควบคุมดูแลกิจกรรมนี้ที่อู่เฟิ่งกู่.   ฝ่ายโหรวหรันคิดแผนทำลายการปักผ้า ไม่ต้องการให้ผ้าปักไหมวิวาห์นี้เสร็จ เพื่อจะใช้เป็นข้ออ้างทำสงครามต่อไป. ได้ส่งเจ้าชายคนที่สองชื่อตัวหลุน (Tuo Lun) ปลอมตัวเป็นพ่อค้าม้าในนามของโม่เจียง (Mo Jiang) มาอยู่ในอู่เฟิ่งกู่ และให้พยายามหาวิธีกลั่นแกล้ง กีดขวางการปักผ้ามิให้สำเร็จลงได้.  
            โม่เจียงมาอยู่ที่หมู่บ้านทอผ้าไหม ได้สำรวจชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน  เห็นความสามารถและฝีมือของช่างทอช่างปักที่ประทับใจเขามาก รวมทั้งเห็นว่าชาวเมืองมีวิถีชีวิตที่สงบสุข ไม่มีใครอยากไปเป็นทหาร หรือไปทำสงครามกับใคร.  เมื่อเขาวางแผนทำลายโอกาสการปักผ้าในแต่ละคราว แผนได้ไปทำร้ายมู่หลันช่างปักดอกไม้ฝีมือดีของหมู่บ้าน. ทีมช่างทอช่างปักต่างร่วมมือร่วมใจ พยายามปักผ้าต่อ ให้เสร็จ ตอกย้ำความตั้งใจและความหวังในสันติภาพระหว่างสองก๊ก.  โม่เจียงเปลี่ยนใจ เห็นความอุตสาหะและความเพียรของชาวบ้านทั้งหนุ่มสาวและคนแก่  แผนของเขาได้ทำร้ายมู่หลันจนตาบอด  เขาตัดสินใจกลับไปเอายาถอนพิษจากโหรวหรันมาให้มู่หลัน.  ยาถอนพิษทำให้ตาเธอหายเป็นปกติและยังผลให้เธอมองเห็นทุกอย่างชัดเจนในความมืดได้อีกด้วย (夜視).  หลังจากเหตุการณ์นี้ โม่เจียงสารภาพกับมู่หลันว่าเป็นชาวโหรวหรันและมาที่หมู่บ้านเพื่อยับยั้งการปักผ้าไหมวิวาห์  แต่ต่อจากนั้นไปเขาจะช่วยให้ผ้าปักสำเร็จลง. ทุกวันเขาได้ไปช่วยพ่อของมู่หลันย้อมไหมสีต่างๆเพื่อชดเชยความผิดที่คนของเขาทำให้มู่หลันและพ่อเดือดร้อนหลายเรื่อง. เขายังปกป้องเธอ. ได้ช่วยชีวิตมู่หลันหลายครั้ง เพราะมีศัตรูผู้หวังร้ายและต้องการทำลายผ้าปักไหมเพราะต้องการให้เกิดสงครามระหว่างสองก๊ก.  เหตุการณ์ที่อู่เฟิ่งกู่ได้สานความผูกพันกันทั้งในความเป็นเพื่อนและในความเป็นศัตรู กว่าจะลงเอยที่ความรักและความหวังในสันติภาพร่วมกัน. 
            กว่าผ้าปักจะสำเร็จลุล่วงไปได้  ผู้คนในหมู่บ้านได้ผ่านวิกฤตต่างๆเพราะเกิดฆาตรกรรม หัวหน้าทีมปักผ้าไหมชิ้นสำคัญนี้ตายลงไปทีละคน  คนแรกเป็นแม่ของตระกูลทอไหมปักไหมที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน(ตระกูลของฝูหลิง)  อีกคนคือแม่ของมู่หลัน  และคนที่จะขึ้นเป็นหัวหน้าคนต่อไปคือมู่หลัน.  โม่เจียงเคยทำร้ายและทำลายโอกาสของการปักผ้า เช่นขโมยสารย้อมผ้าสีเหลืองไปจากบ้านมู่หลัน  กว้านซื้อสารนี้จนหมดตลาด แต่ไม่เคยคิดทำร้ายร่างกายหรือก่อฆาตรกรรม.  จึงแปลกใจว่า ทำไมจึงมีคนจงใจฆ่าหัวหน้าทีมช่างปักไหม  คนนั้นเป็นใคร?  รู้แต่ว่าเป็นคนที่ใช้ดอกซินอี้ฮวาเป็นเครื่องหมาย  ส่งสารไปถึงจินฉันจื่อฝ่ายโหรวหรัน. โม่เจียงพยายามหาตัวคนร้าย.  มู่หลันถูกหมายเอาชีวิตอีกสองครั้ง  ทุกครั้งโม่เจียงมาช่วยไว้ทัน.  มู่หลันเองในที่สุดเป็นคนจับได้ว่าใครเป็นคนร้าย.  คนร้ายเป็นสาวช่างทอในกลุ่มนั่นเองที่เป็นหลานบุญธรรมของปาครูเฒ่าของหมู่บ้านผู้ที่ทุกคนเคารพนับถือในฐานะปราชญ์ผู้ยุติธรรมและมีคุณธรรมสูง.  แต่โม่เจียงคิดว่ายังมีคนที่อยู่เบื้องหลังหลานบุญธรรมของปาครูเฒ่า.  ในที่สุดมู่หลันเห็นจากภายในอาคาร ว่าหมอหลัวเอาน้ำมันไปลาดแล้วจุดไฟเผาอาคารปักผ้าเพื่อให้เธอตาย.  ก่อนฆ่าตัวตาย หมอหลัวบอกว่าเขาคือทัวป๋าเซ่า (Tuaba Shao, พี่ชายของจักรพรรดิเว่ยทั่วป๋าเทา แต่ทัวป๋าเซ่าตัวจริงไม่ใช่หมอหลัว  คือลูกมือของหมอหลัว(เสี่ยวซันจื่อ) ที่ต่อมาหนีไปอยู่ในค่ายของจินฉันจื่อ. (ดูรายละเอียดในดอกซินอี้ฮวาข้างล่างนี้)
             เมื่อผ้าปักเสร็จเรียบร้อยแล้ว โม่เจียงเดินทางกลับโหรวหรัน สัญญากับมู่หลันที่รู้แล้วว่าโม่เจียงคือเจ้าชายตัวหลุน ว่าจะพยายามทุกทางไม่ให้มีสงครามระหว่างกัน จะช่วยสถาปนาสันติภาพบนดินแดนทั้งสอง.  ตัวหลุนไปขอข่านผู้พ่อให้ส่งสารไปขอช่างทอมือหนึ่งของเว่ยไปเป็นภรรยาของเขา เพราะเขาแน่ใจและรู้ว่ามู่หลันคือช่างปักไหมที่เก่งที่สุด.  ก่อนที่จักรพรรดิเว่ยจะประกาศแต่งตั้งมู่หลันเป็นช่างปักมือหนึ่งของประเทศ  มู่หลันได้ไปเกลี้ยกล่อมแม่ทัพเซี่ยให้เปลี่ยนชื่อมู่หลันเป็นฝูหลิง เท่ากับเธอยกตำแหน่งนี้ให้ฝูหลิงแทน  ด้วยความสงสารที่ฝูหลิงกำพร้าทั้งพ่อและแม่  อีกทั้งไม่รู้ว่าโม่เจียงได้วางแผนแต่งงานกับเธออย่างไร.  ฝ่ายก๊กเว่ยแต่งตั้งฝูหลิงให้เป็นเจ้าหญิงด้วย (นักประวัติศาสตร์จีนเจาะจงไว้ว่า สมัยก่อน เจ้าหญิงของจีน อาจเป็นสามัญชนที่มีคุณสมบัติหรือคุณธรรมสูง และได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าหญิง ที่จักรพรรดิจะส่งไปให้ใครก็ได้เช่นกัน หรือส่งไปเป็นเจ้าสาวของก๊กอื่นหรือเผ่าอื่น เหมือนเป็นทูตเชื่อมสัมพันธไมตรีเป็นต้น) และจัดขบวนเจ้าสาวเดินทางไปโหรวหรันพร้อมผ้าปักไหมวิวาห์ที่ทำกันเสร็จแล้ว. โม่เจียง/ตัวหลุนไปคอยรับเจ้าสาว.  ปรากฏว่าก่อนถึงประตูเมือง กองโจรแต่งตัวเป็นทหารเว่ย มาจู่โจมและขโมยผ้าปักไหมไป (ตามแผนลับของจินฉันจื่อมหาอำมาตย์ของโหรวหรัน โดยที่ตัวหลุนก็ไม่รู้).  ตัวหลุนไปทันช่วยขบวนเจ้าสาวแต่คนขโมยผ้าปักวิวาห์ไปแล้ว  นั่นไม่สำคัญเท่ากับที่เห็นว่าเจ้าหญิงที่เดินทางมาเป็นฝูหลิงไม่ใช่มู่หลัน.  ฝ่ายโหรวหรันถือการขโมยผ้าปักนี้ เป็นการสบประมาทและประกาศสงครามกับเว่ย.   ตัวหลุนเตรียมส่งฝูหลิงกลับเว่ย เพราะข่านผู้พ่อเมื่อเห็นฝูหลิงประกาศรับเธอเป็นพระมเหสี.  เขาคิดว่าเขาควรช่วยให้ฝูหลิงกลับไปเว่ยดีกว่า  แต่ฝูหลิงตัดสินใจอยู่ต่อไป เพื่อทำหน้าที่ของเธอ สนองความตั้งใจของจักรพรรดิเว่ยผู้ให้เธอเป็นใยเชื่อมพันธไมตรีกับโหรวหรัน.  ข่านรักและเมตตาเธอ ไว้วางใจเธอ ทั้งเห็นใจว่าเธอจากบ้านเกิดมาคนเดียว. บอกให้เธอฝึกสอนเรื่องปักผ้าให้ชาวโหรวหรัน. (ฝูหลิงต่อมาเป็นตัวช่วยสำคัญ นำมู่หลันเข้าไปในวังข่านเพื่อไปฆ่าทัวป๋าเซ่า.)  ตัวหลุนบอกเธอว่าถ้าเธอรับตำแหน่งพระมหเสี เธอจะปลอดภัยในโหรวหรัน และหากมีโอกาส ค่อยๆเปลี่ยนความคิดของข่านเกี่ยวกับก๊กเว่ย และหว่านล้อมเรื่องยุติสงคราม เพราะลำพังตัวหลุนคนเดียว เขาไม่อาจต้านความมุ่งมั่นของจินฉันจื่อผู้บ้าสงคราม  เขาจึงต้องรับอาสาเป็นแม่ทัพโหรวหรันไปรบกับเว่ยเอง เพราะอย่างน้อย การศึกอยู่ในมือเขาๆพอจะควบคุมให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุดถ้าจำเป็นต้องทำศึกปะทะกัน.  เพราะหากจินฉันจื่อผู้ใช้อู่ตี้ เจ้าชายองค์โต(พี่ชายของตัวหลุน) เป็นเครื่องมือทำสงครามแล้ว สงครามระหว่างเว่ยกับโหรวหรันจะยิ่งโหดร้ายทารุณ.  ฝูหลิงจึงเข้าใจความตั้งใจดีของตัวหลุนเพื่อมิให้อำนาจทหารทั้งหมดตกไปอยู่ในมือของจินฉันจื่อ.


            เมื่อเกิดสงครามอีกครั้งระหว่างสองก๊ก มู่หลันปลอมตัวเป็นชายใช้ชื่อพ่อฮวาหูไปเกณฑ์ทหารแทนพ่อผู้แก่เฒ่าและไม่แข็งแรง.  ครึ่งหลังของเรื่องนี้จึงเกี่ยวกับการรบพุ่งระหว่างสองก๊ก  ตัวหลุนมารู้ทีหลังว่า มู่หลันเป็นทหารอยู่ในค่ายตรงข้าม  เขาเสียใจที่ไม่อาจยับยั้งสงครามได้. ข่านผู้พ่อสั่งให้เขาเป็นแม่ทัพไปเอาชนะฝ่ายเว่ยให้ได้  แต่ตัวหลุนไม่ฉวยโอกาสทำลายกำลังศัตรูเมื่อทำได้. ยังยอมให้ทหารเว่ยจับไปเข้าค่ายของเว่ย เพื่อไปพบมู่หลัน และอยากพาเธอหนีไปให้ไกลจากสงคราม แต่มูหลันไม่ไปและยืนยันจะทำหน้าที่ เป็นฮวาหูทหารหน่วยกล้าตายในค่ายเว่ย. เธอปล่อยตัวหลุนกลับไป. การศึกนี้เป็นการสู้ทางจิตวิทยาด้วยระหว่างยุทธวิธีของสองก๊ก(ระหว่างแม่ทัพเซี่ยกับเจ้าชายตัวหลุน) และระหว่างฮวาหูกับตัวหลุน.  หลายครั้งที่ตัวหลุนช่วยชีวิตฮวาหูไว้ในสนามรบ.  จนทำให้เป็นที่ขัดเคืองของข่านผู้พ่อและถูกใส่ร้ายต่างๆนานาจากมหาอำมาตย์จินฉันจื่อที่วางแผนต่อเนื่อง เพื่อกำจัดทั้งตัวหลุนและข่าน เพื่อขึ้นเป็นข่านเอง. เมื่อเสียเมืองเซิ่งเล่อไป ตัวหลุนถูกเรียกกลับ ถูกจินฉันจื่อใส่ร้ายว่าตัวหลุนคิดชิงบัลลังก์เพราะตกอยู่ใต้อิทธิพลเวทมนตร์แม่มดฮวามู่หลัน.  ถูกจับเข้าคุก. ฝูหลิงเตือนสติข่านว่าตัวหลุนเป็นลูกที่กตัญญูรักเคารพข่าน ให้เรียกเขามาซักถามกันตรงๆระหว่างพ่อกับลูก.  ข่านและตัวหลุนได้พบกันและในที่สุดรู้ความจริงว่าจินฉันจื่อคิดทรยศอย่างไร พอใจที่เข้าใจกันดีแล้ว จะดื่มฉลองระหว่างพ่อลูก แต่เหล้าที่ทหารนำเข้าไปให้นั้นผสมยาพิษ. ตัวหลุนยังไม่ทันได้ดื่ม.  จินฉันจื่อสั่งจับเขาและประกาศว่าเขาฆ่าข่าน.  ตัวหลุนถูกจองจำคอยวันตายในคุก. 
           ฝ่ายฮวาหู/มู่หลันนอกจากยึดเมืองเซิ่งเล่อที่ตัวหลุนคุมอยู่ได้แล้ว ยังรับอาสาไปตามล่าทัวป๋าเซ่า. ทัวป๋าเซ่าผู้เคยคิดกบฎเป็นปฏิปักษ์ต่อจักรพรรดิเว่ยคนก่อนผู้เป็นพ่อ  ถูกตัดสินประหารชีวิต แต่มีทหารคนสนิทกลุ่มหนึ่งมาช่วยให้เขาหนีไปได้.  เพื่อปิดบังชื่อและตัวตนที่แท้จริงของเขา เขายอมเป็นเด็กรับใช้ (ชื่อเสี่ยวซันจื่อ) และยกคนติดตามของตนให้เป็นหมอหลัว  ทั้งสองใช้ความรู้เรื่องสมุนไพรรักษาโรค เปิดอาคารพยาบาลในหมู่บ้านที่อู่เฟิ่งกู่ รักษาคนจนเป็นที่เคารพเชื่อถือของชาวบ้าน.  พอรู้เรื่องเกี่ยวกับผ้าปักไหมวิวาห์ที่จะทำกันในหมู่บ้านนี้ ก็คิดแผนฆ่าช่างปักผ้าคนสำคัญๆ เพื่อยับยั้งการปักผ้า.  ขั้นสุดท้ายหมอหลัวเผาอาคารทอผ้าเพื่อฆ่ามู่หลันที่นั่งปักผ้าอยู่ข้างใน  ทั้งๆที่ในใจเขาแอบรักมู่หลันมานาน.  แม่ทัพเซี่ยมาจับได้ ยิ่งรู้ว่ามู่หลันรอดตายออกมาได้  จึงประกาศว่าตัวเองเป็นทัวป๋าเซ่า แล้วฆ่าตัวตาย.  ส่วนทัวป๋าเซ่าตัวจริงที่ทุกคนรู้จักเพียงว่าเป็นลูกมือของหมอหลัว หนีออกจากเมือง.  ต่อมาไปสมัครเป็นหมอในค่ายทหารเว่ยและพบฮวาหู/มู่หลัน ที่ยังคิดว่าเขาเป็นเพียงผู้ช่วยหมอหลัว.  ตลอดเวลาทัวป๋าเซ่าติดต่อกับจินฉันจื่ออย่างลับๆ ไม่เคยเจาะจงชื่อ ใช้ภาพดอกซินอี้ฮวา (magnolia) แทน. บอกเหตุการณ์ฝ่ายเว่ยโดยที่จินฉันจื่อยังไม่รู้ชัดเจนว่าเป็นใคร และให้ตัวหลุนไปค้นหาคนๆนี้ที่อู่เฟิ่งกู่ด้วย.  เมื่อทั่วป๋าเทาบาดเจ็บจากสนามรบ ทัวป๋าเซ่าในฐานะหมอของค่ายทหารเว่ย  เห็นเป็นโอกาสที่จะทำร้ายทั่วป๋าเทา เพื่อตนจะได้ขึ้นครองเว่ย  เตรียมยาพิษเอาเข้าไปในวัง จะให้ทั่วป๋าเทาดื่ม  แต่ชั่ววินาทีหนึ่ง แม่ทัพเซี่ยฉุกใจนึกถึงหมอหลัวว่าตายอย่างไรที่อู่เฟิ่งกู่ สั่งให้หมอดื่มยาที่เขาเตรียมให้จักรพรรดิก่อน  หมอไม่ดื่มเกิดการต่อสู้. แม่ทัพเซี่ยชนะเอาดาบคาไว้ที่คอทัวป๋าเซ่าแล้ว  ทหารองครักษ์คนหนึ่งวิ่งเข้ามาเห็น แม่ทัพบอกให้จัดเก็บทัวป๋าเซ่า.  เคราะห์ร้าย ทหารองครักษ์คนนั้นเป็นสมุนเก่าของทัวป๋าเซ่า  ทหารใช้ดาบแทงแม่ทัพจากด้านหลัง และบอกให้ทัวป๋าเซ่าหนีไป.  ทัวป๋าเซ่าเดินทางไปเข้าค่ายของฝ่ายโหรวหรัน เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงต่อจินฉันจื่อ ผู้เป็นคนรักเก่าของพระนางฉินฮวาแม่ของทัวป๋าเซ่า  เขาคิดตั้งตนเป็นกษัตริย์ภายในดินแดนของโหรวหรัน เพื่อหาโอกาสกลับไปฆ่าทั่วป๋าเทาจักรพรรดิเว่ย.  ข่านและมหาอำมาตย์จินฉันจื่อ เห็นประโยชน์ที่ให้ความช่วยเหลือแก่ทัวป๋าเซ่า สร้างวังให้และเตรียมจัดพิธีราชาภิเษกให้ด้วย  โหรวหรันต้องการให้เกิดการแยกพรรคแยกพวกในหมู่ชาวเว่ย ว่าจะเข้าข้างจักรพรรดิองค์ไหน เช่นนี้ ก๊กเว่ยจะระส่ำระสาย  โหรวหรันจะถือโอกาสมาปราบเว่ยและครอบครองดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ของเว่ย   เมื่อนั้นก็จะกำจัดทัวป๋าเซ่าได้ง่าย.  ตัวหลุนรู้แผนร้ายของจินฉันจื่อ ได้พยายามบอกให้ข่านผู้พ่อรู้ตัวและเข้าใจ  แต่มหาอำมาตย์ได้สั่งฆ่าเจ้าชายองค์โต, ข่าน และตัวเขา เพราะความต้องการที่แท้จริงของจินฉันจื่อ คือการขึ้นเป็นข่านเอง.  ฮวาหูส่งกองทหารไปช่วยตัวหลุนออกมาจากคุก ในวันเดียวกันนั้นเธอเข้าไปในวัง แต่งเป็นผู้หญิงในชุดดำไว้ทุกข์ข่าน สวมตัวเป็นพระมเหสีฝูหลิง เข้าไปพบทัวป๋าเซ่าตามลำพัลตัวต่อตัวในวัง มู่หลันฆ่าทัวป๋าเซ่าสำเร็จ.  เธอหว่านล้อมให้ตัวหลุนมาร่วมมือกับเว่ยเพื่อกู้โหรวหรันจากจินฉันจื่อ.  ในที่สุดจักรพรรดิทั่วป๋าเทา เชื่อและวางใจตัวหลุนเพราะรู้ความจริงว่า มู่หลันเป็นหญิงและเป็นคนรักของตัวหลุน  เขาจึงแน่ใจว่าตัวหลุนในฐานะเจ้าชายโหรวหรันจะไม่ทรยศหักหลังเว่ย.  ตัวหลุนได้กำลังทหารจากเว่ยไปกู้วังข่านคืน รวมกำลังและออกตามจินฉันจื่อ ที่นำทัพใหญ่ออกมาหมายจะปราบเว่ยให้ราบเป็นหน้ากลอง. ฮวาหูและตัวหลุนเป็นสองกองทัพหน้าและหลังเข้าล้อมกองทหารของจินฉันจื่อ เมื่อแพ้ศึก จินฉันจื่อเชือดคอตนเองตายแทนการยอมให้จับ.
            สงครามสิ้นสุดลง ทั้งสองก๊กประกาศจับมือกันเป็นพี่น้อง  สันติภาพที่คอยกันมานานจึงเป็นจริงขึ้นมา.  ฮวาหูปฏิเสธตำแหน่งสูงของประเทศที่จักรพรรดิแต่งตั้งเธอและขออนุญาตกลับไปอยู่กับพ่อ เป็นสามัญชนและเป็นช่างทอช่างปักผ้าตามเดิม โดยไม่ลืมบอกว่ายามศึกเมื่อชาติต้องการ ก็จะกลับมารับใช้จักรพรรดิ.  ตัวหลุนกลับไปโหรวหรันจัดการบ้านเมือง  แล้วกลับมาหามู่หลันที่หมู่บ้านในอู่เฟิ่งกู่. 
 
            เนื้อเรื่องที่เล่ามาคร่าวๆข้างต้นนี้  ตัวละครและเหตุการณ์ในแต่ละฉากแต่ละเหตุการณ์ตรึงความสนใจผู้ชมโดยเฉพาะในสิบเก้าตอนแรกของเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านปักผ้าอู่เฟิ่งกู่.  ครึ่งแรกมีสีสันของแพรไหมปูเป็นพรมที่ตัวละครแต่ละตัวเป็นลวดลายแบบต่างๆบนผ้าปัก กับฆาตรกรรมที่เหมือนตะเข็บหยาบๆเป็นรอยต่อบนพรมผืนยาว.  เนื้อเรื่องในครึ่งแรกนี้ขับเคลื่อนไปเร็ว ชวนติดตาม  ฉากหลายตอนในครึ่งแรกจะถูกนำไปเป็นบทอ้างอิงผลักการดำเนินเรื่องในครึ่งหลังให้เดินต่อไป.  กรอบของเหตุการณ์ในครึ่งแรกมีไม่มาก บ้านทอผ้าใหญ่ๆไม่กี่หลัง  บ้านทอผ้าปักผ้าและย้อมไหมของครอบครัวฮวา  อาคารพยาบาลของหมู่บ้าน  บ้านของปาครูเฒ่า  ถนนกลางเมือง  ทุ่งหญ้ากว้าง  ทะเลสาป  โรงเตี๊ยม  บ้านพร้อมคอกม้าที่โม่เจียงกับลูกสมุนไปเช่าอยู่.  
            ส่วนครึ่งหลังของเรื่องเกี่ยวกับชีวิตทหาร การศึก เล่ห์เหลี่ยม ยุทธวิธี. ฉากสู้รบจริงๆ มีไม่มากนัก ส่วนใหญ่ใช้วิธีการเล่า ใช้การอธิบายแทน  คงเพื่อประหยัดค่าลงทุนและการใช้ตัวละครให้เหลือเท่าที่จำเป็น เพราะนี่เป็นเรื่องสำหรับจอเล็กมากกว่าเป็นภาพยนต์จอใหญ่.  การดำเนินเรื่องจึงเป็นบทสนทนามากกว่า  ยาวและช้า.  มีฉากในครึ่งแรกแทรกเป็นระยะๆ เพื่ออธิบายหรือชี้แจงเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นแล้วที่อู่เฟิ่งกู่ที่ยังคาใจกันอยู่. สำหรับผู้ที่ไม่ติดตามบทสนทนาอย่างละเอียด หรือติดตามยุทธวิธีการศึก หรือติดตามเพื่อศึกษาภาษาจีนที่ใช้ในหนังชุดนี้  ครึ่งหลังอาจน่าเบื่อ และเป็นเช่นนี้ในสิบกว่ายี่สิบตอน แต่ก็มีตอนประทับใจหลายตอน.


ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่ง แต่ไม่มีการพูดถึงเลยทั้งในเรื่องและนอกเรื่องคือชื่อ ฮวามู่หลัน  (คำแรกเป็นชื่อตระกูล “ฮวา”, คำที่สองแปลว่า “ไม้”, คำที่สามแปลว่า “กล้วยไม้”   ถ้าเขียนเป็น  โดยเอาคำแรกไว้ในตำแหน่งที่สาม  จะกลายเป็นสามัญนามที่แปลว่า “ดอกไม้” > [มู่หลันฮวา] คือดอก (lily) magnolia.  ดอกไม้ชนิดนี้มีบทบาทสำคัญในหนังชุดนี้ ที่เกี่ยวโยงกับตัวละครในทั้งสองก๊ก (โปรดดูต่อไปใน 2-บนเส้นทางสายไหม ในตอน ซินอี้ฮวา ).  มู่หลันถูกใส่ร้ายว่าปักดอกไม้นี้  เกือบถูกแม่ทัพเซี่ยตัดหัว.  ส่วนคำ ซินอี้ฮวา ที่คือดอก magnolia ในเรื่องและที่กำกับภาษาจีนไว้เช่นนี้ >  辛夷花 . ไม่พบความหมายของ ดอก magnolia เลยในคำนี้ จากพจนานุกรมต่างๆที่เข้าไปดู.   น่าแปลกใจ ที่ไม่มีข้อมูลใด และไม่เกี่ยวอะไรกับดอกไม้เลย. สงสัยว่าเขียนภาษาจีนถูกหรือเปล่า ? 
ภาพข้างล่างนี้มีดอกซินอี้ฮวาประกอบ

            การย้อนกลับไปยังตอนต่างๆในครึ่งแรก ย้อนมาสะเทือนความรู้สึกของพระเอกนางเอกอยู่เนืองๆ.  ความทรงจำของทั้งสองที่อู่เฟิ่งกู่ เป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมคนสองคนนี้ ในขณะเดียวกันวิสัยทัศน์เกี่ยวกับความรักและสันติภาพของแต่ละคนก็เปลี่ยนไป.  หนุ่มสาวคู่นี้ “เติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว” ( )  ผ่านกาลเวลาและสงคราม.
(ตอน 47 > https://www.youtube.com/watch?v=N3wqbFx7hag  นาทีที่ 29:56-31:24 ).




โชติรส โกวิทวัฒนพงศ์  วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๘.

โปรดติดตามตอนที่สอง > บนเส้นทางสายไหม ที่นี่ >

http://www.chotirosk.blogspot.com/2015/08/on-silk-road.html

และตอนที่สาม> รักระหว่างรบ ได้ที่นี่ >


 

 
 

4 comments:

  1. นึกถึงสมัยเด็กที่พ่อจ้างครูจีน(คนปักกิ่งในไทย)มาสอนภาษาจีนให้เรา หลังจากที่เรียนโรงเรียนจีนป ๑ ถึงป ๔. ขอบคุณบิดาที่ปลูกฝังทักษะให้เรามา และขอขมาด้วยว่า มิอาจรับมาไว้เต็มๆ (มันไม่ไหว และไม่อยากยุ่งอะไรกับจีนคนใดในปัจจุบัน!) ภาษาจีนที่เรียนเป็นภาษาจีนคลาซสิก ตัวอักษรจีนก็เขียนเต็มที่ไม่มีการย่อเหลือไม่กี่ขีด ดังที่เห็นในหนังชุดนี้ ที่ทำให้เราเดาความหมายไม่ได้ เหมือนเส้นตรง วงกลม หรือขีดในภาษาเกาหลีและญี่ปุ่น ที่ไม่สื่อความหมายอะไรเลย ต้องกลับไปหาคำจีนดั้งเดิม... หนังชุดนี้สำหรับคนเรียนภาษาจีน มีประโยชน์มาก ได้ฟังได้ฝึกภาษาพูดแบบประโยคไม่ซับซ้อนที่ใช้ในภาษาประจำวันมาจนถึงปัจจุบัน. แต่ที่น่าสนใจขึ้นอีกระดับหนึ่งคือการโต้ตอบของตัวละครที่เป็น "ชนชั้นสูง ข้าราชการผู้ใหญ่ฯลฯ" ผู้คือปัญญาชนของจีนในสมัยก่อนๆมาจนถึงปัจจุบัน เป็นคนกลุ่มที่อ่านออกเขียนได้และเป็นกลุ่มที่ต้องท่องจำคำสอนของขงจื้อและ เล่าจื้อ(ลัทธิเต๋า) เขาใช้วิธีท่องจดจำมาทั้งเล่มเลย ในปัจจุบันก็ทำกันต่อมา ในเรื่องนี้มีตัวละครที่เขาแปลว่า Scholar เป็นตัวแทนของสามัญชนผู้ใฝ่เรียน (ที่ท่องตำราพิชัยสงครามทั้งหลายตั้งแต่อายุ ๕ ขวบ) เป็นกลุ่มที่จะไปสอบ "จอหงวน" เพื่อขึ้นเป็นข้าราชการในตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ เพราะฉะนั้นการสนทนาระหว่างตัวละครกลุ่มนี้ โต้ตอบด้วยสำนวนจากหนังสือดังกล่าว เป็นการหยั่งความรู้และปัญญาของคู่ต่อสู้หรือคู่สนทนาว่า มีความฉลาดเฉลียวพอที่จะ quote คำพูดจากตอนไหนมาประลองฝีปากกัน. ส่วนใหญ่เป็นสำนวนสี่คำเรียงกัน (การแปลสำนวนพวกนี้เป็นอังกฤษ ไม่ได้อรรถรสของนัยยะของคำแต่ละคำเพราะมิได้เป็นภาษาคำโดดเหมือนกันจึงต้องแปลเอาความ. ตัวอย่างง่ายๆ สำนวนจีน "นอกฟ้ามีฟ้า" ที่แปลเป็นไทยได้ตรงและดีมากว่า "เหนือฟ้ายังมีฟ้า" ) โครงสร้างสำนวนแบบนี้ ที่เป็นแบบใน "สุภาษิตพระร่วง" อยากให้คนเรียนภาษาจีนสนใจศึกษาและเทียบจีนไทยแบบนี้นะ.

    ReplyDelete
  2. ขอบการวิเคราะห์มากๆ ได้แง่คิด มุมมอง ดีมากเลยค่ะ ตอนดูหนังก็คิดๆ แต่คิดได้ไม่ลึกซึ้งเท่านี้ พื้นความรู้มีไม่มาก จึงต้องตามหาข้อมูลในเน็ตว่า คนอื่นคิดกันอย่างไร จนได้เจอเว็บนี้ ถูกใจมากค่ะ
    ขอบคุณมากสำหรับสิ่งดีๆ ค่ะ

    ReplyDelete
    Replies
    1. ดีใจที่ชอบอะไรหลายๆอย่างในหนังชุดนี้เหมือนกัน

      Delete
  3. เยี่ยมจริงๆ เลยค่ะ เล่าเรื่องทั้งหมดได้กระชับ สนุก ขอบคุณ คุณโชติรสมากๆ เลยนะคะ

    ReplyDelete