Saturday 29 August 2015

บนเส้นทางสายไหม On the silk road




            การทอและปักผ้าไหม เป็นจุดเริ่มต้นและจุดจบของหนังชุดนี้  เหตุการณ์ในครึ่งแรกสิบเก้าตอนเกี่ยวกับเรื่องทอเรื่องปักผ้าไหม  ในครึ่งหลังของหนังชุดนี้ แม้จะเป็นเรื่องในสนามรบ บทบาทของผ้าไหมยังคงมีอยู่  เป็นตัวเชื่อมความผูกพันของพระเอกกับนางเอก เป็นใบเบิกทาง และเป็นอาวุธสงคราม. 
            ตอนต่างๆที่ยกมาเป็นตัวอย่าง ยืนยันความสำคัญของผ้าไหม ทั้งในการขับเคลื่อนเนื้อหาที่รวมถึงการพัฒนาตัวละคร และในการปลูกฝังศิลปะการปักผ้าไหมของจีน.  เริ่มตั้งแต่ตอนที่ 1 เลยว่า  ผ้าไหมจากอู่เฟิ่งกู่ มีค่าเทียบเป็นเงินเป็นทอง  มู่หลันก็คิดเทียบราคาไหมกับราคาม้าขาวของโม่เจียง.  เมื่อจักรพรรดิประทานรางวัลตอบแทนความดีความชอบนอกจากให้ทองคำแล้ว ยังให้ไหมเป็นมัดๆด้วย เช่นในตอน 46 จักรพรรดิให้ฝูหลิงทองร้อยชั่งและไหมอีกร้อย(ม้วน)เกลียว  หรือในตอน 48 ที่จักรพรรดิสั่งตกรางวัลทองร้อยชั่งกับไหมอีกพัน(ม้วน)เกลียวให้แก่มู่หลันตอนจบ (บวกตำแหน่งขุนนางชั้นสูงในราชสำนัก มีรถเทียมม้าสี่ตัวสำหรับใช้ส่วนตัว)  ไหมเป็นสิ่งสูงค่า  อู่เฟิ่งกู่เมืองทอเมืองปักไหมที่มีชื่อของจีน ชาวเมืองมีชีวิตความเป็นอยู่ดีเพราะการค้าไหม  ตัวหลุนให้ทหารกลับไปบอกข่านว่า ครอบครัวสามัญชาวเว่ย รวยกว่าครอบครัวสามัญชาวโหรวหรัน (ตอน14) เพราะก๊กเว่ยพัฒนาศิลปะการทอการปักผ้า นำส่งผ้าไหมไปขายถึงเปอเชีย. พวกเขามีรายได้ดี ชาวเมืองอยู่อย่างสงบ มีความสุขในครอบครัว ชาติมั่นคง.  ชาวโหรวหรันคิดแต่สร้างความมั่นคงด้วยการทำศึกแย่งชิงดินแดน สิ่งที่ได้มาจากสงครามจำกัดอยู่ไม่กี่อย่างแล้วก็หมดไป  มิได้ทำให้ประชาชนร่ำรวยหรืออยู่ดีกินดี.   
            บทสนทนาหลายตอนในครึ่งแรกจะเน้นเรื่องการปักผ้าเพื่อกู้ชาติ ปักผ้าเพื่อสันติภาพเพื่อที่ชายชาวเว่ย พ่อหรือลูกหรือหลานไม่ต้องไป(ตายใน)สงคราม.
           แม่ทัพเซี่ยพูดกับปาครูเฒ่าว่า ได้ยินคนชมว่าผ้าปักของอู่เฟิ่งกู่รวมจินตนาการฝันกับความเป็นจริงเข้าด้วยกันได้อย่างสมดุล  เมื่อเขาเห็นผ้าปักภูมิทัศน์ภูเขาและแม่น้ำ - 山水 ซันสุ่ย (ตอน2) ในบ้านของปาครูเฒ่า  เขาบอกว่าคำเล่าลือนั้นให้ความจริงเพียงน้อยนิด.  งานปักของครูเฒ่าทำให้คนที่ได้เห็น ตลึงพูดไม่ออก งามหาอะไรเปรียบมิได้เลย.  ปาครูเฒ่าเคยได้รับเลือกเป็นช่างปักผ้ามือหนึ่งของเว่ยมาก่อน (ในจีน การปักผ้ามิได้จำกัดอยู่ในวงของผู้หญิงเท่านั้น).  ปาครูเฒ่าผู้นี้เป็นภาพลักษณ์ของปราชญ์ตรงตามอุดมกาณ์ของขงจื้อ.  แม่ทัพได้ขอให้ปาครูเฒ่าช่วยเลือกช่างทอฝีมือดีสำหรับทำงานปักผ้าไหมวิวาห์.
          เมื่อแม่ทัพเซี่ยไปเยือนบ้านช่างทอช่างปัก เพื่อดูผลงานและฝีมือของช่างในหมู่บ้านนี้  เมื่อไปถึงบ้านของมู่หลัน(ตอน2)  มู่หลันได้ปักเค้าหน้าด้านข้างของแม่ทัพเซี่ยบนผืนผ้าไหมขาว  และมอบให้แม่ทัพไป.  แม่ทัพเซี่ยได้เก็บผ้าผืนนี้ตลอดมา และมู่หลันไปเห็นในเต๊นต์ของแม่ทัพเมื่อแม่ทัพเสียชีวิตแล้ว รู้สึกเสียใจยิ่งขึ้นที่เขาจากไป. เอาไปให้โม่เจียงดู  เมื่อรู้ว่ามู่หลันเป็นคนปัก เขาพูดออกมาว่า ถ้าเขาต้องแพ้ใครสักคน เขายินดีแพ้แก่แม่ทัพเซี่ยด้วยความเต็มใจ.  เขาเคารพความรู้สึกและความเป็น “คนที่มีหัวใจ” เบื้องหลังใบหน้าที่นิ่งเกือบเย็นชาของแม่ทัพเซี่ย (ตอน 46) (ดูรายละเอียดบุคลิกของแม่ทัพเซี่ยใน ตอน 3 รักระหว่างรบ) 
            ฉากการแข่งขันเพื่อหาช่างทอฝีมือเยี่ยมของหมู่บ้าน(ตอน 2) ขั้นตอนการคัดเลือก ที่บอกให้รู้ว่า ช่างปักแต่ละคนมีความละเอียดประณีตแค่ไหน เช่นไหมหนึ่งเส้น ต้องสามารถแยกออกเป็นใยไหมอีกไม่ต่ำกว่า 12 เส้น จึงนับว่าเป็นช่างฝีมือดี และสามารถสนเข็มใช้ใยเส้นเล็กๆที่แยกได้นั้นให้ได้มากเล่มที่สุดในเวลาจำกัด(ในเวลาครึ่งก้านธูป).  วิธีนี้พิสูจน์สายตาและความแม่นยำกับสมาธิที่ไม่คลอนแคลนในขณะสนเข็ม. การประกวดครั้งนี้มิใช่ดูความชำนาญกับความรู้เรื่องไหมเท่านั้น (ซึ่งแม่ของฝูหลิงและแม่ของมู่หลันเป็นสองคนที่มีความสามารถเหนือกว่าสาวๆที่มาเข้าแข่งนี้)  แต่การแข่งขันครั้งนั้นเพื่อดูความสามารถในการประสานหัวใจกับมือ ว่าสอดคล้องกันเพียงใด
(ตอน2 > https://www.youtube.com/watch?v=2GIpYhC5wX0  นาทีที่ 35:11ไปจนจบตอน) พิธีแบบนี้มีจริงๆไหมในสังคมจีน? ปัจจุบันคงไม่ทำกันแล้ว การแยกใยไหมกับการสนเข็มได้ถึงเพียงนั้น มันเหลือเชื่อมากเลย.  แต่ฉากนี้น่าชมมากฉากหนึ่ง.

            มู่หลันต่อว่าโม่เจียง ที่ทิ้งเสื้อคลุมสีเขียวขี้ม้าของเขา เพราะถูกเกี่ยวขาด(ตอน 4)  เธอเอาเสื้อไปสอยไปชุนให้และคืนให้เขา(ตอน 5) พร้อมกับอธิบายว่า กว่าจะมาเป็นเสื้อคลุมตัวนั้น ใช้กี่คนเลี้ยงต้นหม่อน กี่คนดึงเส้นไหมออกจากรังหม่อน กี่คนต้องย้อม กี่คนทอ กี่คนปัก คนทอใช้เวลาสามวันสามคืนเพื่อทอให้เป็นผืน  คนตัดเสื้อใช้เวลาหนึ่งวันตัด  คนปักใช้เวลาสามวันปักดอกไม้ลงบนเสื้อ ทั้งหมดกว่าจะเป็นเสื้อคลุมของโม่เจียง ขาดไปหน่อย ก็ทิ้ง เท่ากับทิ้งการทำงานของคนจำนวนมากไป  ไม่ได้เห็นค่าของแรงงานคนอื่น.




โม่เจียงสารภาพว่าไม่เคยคิดเคยรู้มาก่อน ต่อแต่นั้นไปจะรักและถนอมมัน.  ในเนื้อเรื่องต่อมา เสื้อคลุมตัวนี้จะอยู่ใกล้ตัวเขาเสมอ เขาลูบไล้เมื่อคิดถึงมู่หลัน (ตอนที่26, 28 และโดยเฉพาะตอนที่ 31 ที่เขาตัดสินใจฉีกเสื้อคลุมตัวเดียวกันนี้ เอาส่วนหนึ่งของผ้ามาผูกกับยาถอนพิษ ผูกติดธนู ขี่ม้าไปหน้าค่ายของแม่ทัพเซี่ย และยิงธนูไปตกตรงหน้าแม่ทัพ เพื่อให้แม่ทัพเอายาถอนพิษไปช่วยรักษามู่หลัน  เพราะเธอถูกยิงด้วยลูกธนูอาบยาพิษจากทหารโหรวหรัน  มู่หลันฟื้นคืนสติมา เห็นผ้าผืนนั้นก็รู้ว่าเป็นของโม่เจียงและเขามาช่วยเธออีก)  นายทหารคนสนิทถามว่าทำสงครามกับเว่ย ทำไมเอายาถอนพิษไปให้ศัตรู คำตอบคือ อยากชนะเขา แต่ไม่ใช่ฆ่าเขา...

( https://www.youtube.com/watch?v=_IIn1XWtTlM   นาทีที่ 14:45-16:19) 



การนวดมือคลึงนิ้วมือและแช่มือที่เป็นอีกหนึ่ง motive ที่ไม่ถูกลืมและเอาไปใช้เชื่อมกับเรื่องซินอี้ฮวา  หมอหลัวอธิบายให้แม่ทัพเซี่ยว่า ในตัวเอามีแกนลมปราณ ที่หมุนเคลิ่อนตัวไปบนร่างกาย  ยามใดที่แกนนี้อยู่มี่มือ เอาเวลานั้นนวดมือและนิ้วแล้วแช่ในน้ำสมุนไพร จะช่วยความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและกระดูกที่มือและนิ้ว เช่นนี้ช่วยในการปักผ้ามากที่เดียว.
ตอน 2 > https://www.youtube.com/watch?v=2GIpYhC5wX0  นาทีที่ 11:29-12:51)
            ในหมู่ช่างปักผ้า มู่หลันสอนแก่รุ่นน้อง บอกวิธีการปักการตรึงไหมให้กลมกลืนกัน ไม่ให้มีเส้นด้ายลุ่ยได้

            เมื่อมู่หลันตามองไม่เห็น ยายได้สอนให้ใช้มือ ใช้การสัมผัสเป็นตา แล้วใช้ใจจำ ใช้สองทักษะรวมกันปักผ้าได้ดังที่ยาย(ผู้ตาบอด)ทำเป็นประจำ และพัฒนาเป็นความเคยชินจนเป็นชำนาญได้ในที่สุด.  ทำให้มู่หลันฝึกการปักด้วยการคลำดอกไม้ที่จะปัก จนในที่สุดปักดอกไม้ออกมาได้ ที่เธอบอกรุ่นน้องว่า ที่ทำได้เพราะใช้หัวใจเป็นตา  จึงเข้าใจจนแทบแตะชีวิตของดอกไม้แต่ละกลีบ.  พ่อของมู่หลันก็สอนให้มู่หลันใช้ประสาทสัมผัสเป็นตา เรียนรู้ว่าไหมสีต่างๆ ต่างกันอย่างไรเวลาสัมผัส.  พ่อเคยพูดว่า พ่อหลับตายังย้อมสีไหมได้ถูกต้องเพราะทำมาเป็นสิบๆปี.  เขาอธิบายให้มู่หลัน ว่าแต่ละสีเมื่อจับต้องให้ความรู้สึกไม่เหมือนกัน เช่น ไหมสีฟ้าลื่นมือที่สุด สียิ่งเข้มยิ่งนุ่มมือ  สีขาวเบาที่สุด  สีดำหนักที่สุด  สีส้มทองๆเหมือนอะไรห่ามๆ  สีแดงทำให้รู้สึกอุ่นๆ  สีเขียวทำให้รู้สึกเหมือนอะไรเบาๆลอยตัว (ตอน 10).  ทั้งหมดนี้ทำให้นึกถึงสำนวน สีร้อน สีเย็น. ในภาษาตะวันตกยิ่งเห็นได้ชัดเจน มีคำใช้มากกว่า. คำคุณศัพท์ที่ใช้แจกแจงสีและระดับต่างๆของสีมาจากการสัมผัสกับความรู้สึกมากกว่าจากการมองเห็น. (ในตอน6)  พ่อสอนมู่หลันว่าแม้ตาบอด หากรู้วิธีใช้สัมผัสและหัวใจมาช่วย ก็ยังอาจปักผ้าให้สวยได้  สิ่งสำคัญคือการรักษาจิตใจ อย่าให้มีความเกลียดชังใดๆในหัวใจ. ความเกลียดทำให้คนตามืดตาบอดยิ่งกว่าสิ่งใด. ทำให้ฝีเข็มสับสนไม่คงเส้นคงวา  ความเกลียดทำให้ศักยภาพในการคิดวิเคราะห์หรือตัดสินใจลดลง  ตราบใดที่ยังคิดว่าโหรวหรันเป็นศัตรู ปักไหมอีกกี่ผืนก็มิอาจนำสันติภาพมาได้. 

            ดนตรีจากซอที่โม่เจียงมาสีให้มู่หลันฟัง มาเปิดตามู่หลัน  นำจินตนาการของเธอให้เห็นภูมิทัศน์ ให้ได้ยินเสียงนก เสียงน้ำ.
ในตอน10 > https://www.youtube.com/watch?v=68KHpRDhCm4  นาทีที่ 08:05-11:21)
+ ตอน18 > https://www.youtube.com/watch?v=fAEEbRPLD9A  นาทีที่ 05:19-06:40)
+ ตอน31> https://www.youtube.com/watch?v=_IIn1XWtTlM  นาทีที่ 38:47 ไปจนจบ)    
ดนตรีเพิ่มเข้ามาเปิดช่องทางการดำเนินเรื่องไปยังอีกมิติหนึ่ง ที่ยืดสานต่อไปอีกในครึ่งหลัง  เป็นศิลปะอีกชนิดหนึ่งที่เอาเข้ามาใช้ในเรื่องนี้ได้อย่างมีนัยยะสำคัญที่สุด  เพราะเสียงดนตรีสำหรับคนตาบอดหรือคนตาดี เป็นสิ่งไม่มีรูปร่างและแตะต้องไม่ได้ ต้องสัมผัสมันด้วยใจเท่านั้น.  ในความเป็นจริง เสียงสีซอในเรื่องนี้  มิได้มีอานุภาพสะเทือนใจเท่าที่หวังไว้ เพราะศักยภาพของเครื่องดนตรีที่มี musical range ค่อนข้างจำกัด.  ซอในเรื่องนี้เหมือน morin khuur เครื่องดนตรีพื้นบ้านของชาวมงโกล морин хуур  头琴  แต่ที่ปรากฏในหนังชุดนี้ เป็นหัวหมาป่าแทนหัวม้า หรือ wolfhead zither.  
อย่างไรก็ดี การใช้เสียงซอเข้ามา เพิ่มเนื้อหาวัฒนธรรมจีนเข้าในเรื่องอีกหนึ่งข้อ และมิได้แทรกเข้าประเดี๋ยวประด๋าวแล้วหายไปเลย แต่ยังย้อนกลับมาในตอนต่างๆ ต่อเนื่องไปทั้งจนเกือบจบเรื่อง. ดนตรีจึงกลายเป็น leitmotiv ของหนังชุดนี้อีกหนึ่งประเด็น. มีส่วนทำให้เนื้อเรื่องโดดเด่นขึ้นอีกหนึ่งระดับ  และเป็นพลังขับเคลื่อนเนื้อเรื่องที่ให้ผลเต็มร้อย  โดยเฉพาะในครึ่งหลัง เมื่อเสียงซอล่องลอยมา เสียดสี อ้อยอิ่ง ฝ่าอณูอากาศมากระทบใจในยามพักรบ มันบอกความอาลัยอาวรณ์หวนหาอดีตที่ผ่านไป. ฮวาหูบอกแม่ทัพเซี่ยว่า คนสีซอคือตัวหลุนที่กำลังคิดถึงโม่เจียง คิดถึงตอนที่เขาอยู่อู่เฟิ่งกู่.  คนๆเดียวกันที่หาจุดยืนตรงกลางให้ตัวเองไม่ได้.  เมื่อจับจุดอ่อนของตัวหลุนได้ ทางที่จะเอาชนะเขาก็ต้องจี้ไปที่จุดนั้น. (ตอน32) 

           การที่ผู้หญิงปักผ้าให้ ลวดลายใดก็ตาม ลงในผืนผ้าแล้วให้ผู้ชาย  (ไม่ว่าจะเป็นผ้าของฝ่ายชายเองหรือไม่) แสดงถึงความรักชื่นชมของผู้หญิงต่อชายคนนั้น  และหากชายคนนั้นเก็บผ้าไว้ติดตัวก็เหมือนบอกว่ามีความรู้สึกตรงกัน.  เรื่องผ้าซับเหงื่อเปิดเป็นวงจร motive นี้ไปตลอดหนังชุดนี้ ไม่ถูกลืม. ตั้งแต่ตอน 1 ฝูหลิงเก็บผ้าซับเหงื่อ(แปลตามอักษรจีน ไม่ใช่ผ้าเช็ดหน้า) ของโม่เจียงที่ตกลงบนถนนขณะขึ้นม้าควบตามม้าขาวที่มู่หลันขึ้นขี่ที่ทะยานโลดไปราวกับธนูเมื่อมู่หลันขึ้นไปนั่งหลังมัน.  ฝูหลิงแอบเอาไปปักเป็นรูปเห็ดฝูหลิง (เห็ดใต้ดินจำพวก Poria cocos เป็นเห็ดที่กินได้) ที่เป็นชื่อเธอ(ตอน2) ก่อนเอาไปยื่นคืนให้. โม่เจียงรับมาแล้วเก็บเข้าไว้ในเสื้อโดยไม่ได้เปิดดู(ตอน 8).  ต่อมาโม่เจียงถูกทหารคุมตัวมาพบแม่ทัพเซี่ยผู้สงสัยว่าเขามีอะไรเกี่ยวกับกรณีฆาตรกรรมที่เกิดขึ้นกับแม่ของฝูหลิงที่เสียชีวิตเพราะเข็ม. ทหารไปค้นที่อยู่ของโม่เจียง พบผ้าซับเหงื่อผืนนั้นและเข็มจำนวนมาก.  แม่ทัพเซี่ยคลี่ผ้าออกดู ถามว่าได้มาอย่างไร แล้วให้นำตัวฝูหลิงมาซักถาม  ซึ่งเธอตอบอายๆว่าเธอเองเป็นคนปักให้เขา.  เมื่อมีโอกาสอยู่กันตามลำพัง(ตอน 14) ถามเขินๆว่าโม่เจียงว่ายังเก็บผ้าซับเหงื่อผืนนั้นไว้ไหม.  เธอยังมีความหวังอยู่อีกว่าโม่เจียงจะรักเธอ.  (ตอน 27) ในวังข่าน วันที่ข่านแต่งตั้งเธอเป็นมเหสี  ฝูหลิงอยู่คนเดียวแอบปักผ้าใบหน้าของโม่เจียงไว้.  ยังไม่ลืม รู้ทั้งรู้ว่ารักเขาข้างเดียว.  มู่หลันได้ปักภาพเค้าหน้าของแม่ทัพเซี่ยเมื่อเขาไปดูกิจการปักผ้าบ้านเธอ (ตอน2) เธอบอกให้แม่ทัพเซี่ยอยู่นิ่งๆสักพัก แล้วลงมือปักภาพแม่ทัพออกมาเดี๋ยวนั้นเลย และมอบให้แม่ทัพเซี่ยไป. มู่หลันทำเพื่ออวดตัวว่า สามารถปักอะไรได้รวดเร็ว เพื่อโชว์ฝีมือเธอแบบสนุกๆ.  เมื่อแม่ทัพเซี่ยเสียชีวิตลง เธอไปเห็นผ้าผืนนั้นที่แม่ทัพเซี่ยเอาติดตัวไปไหนมาไหนตลอดเวลาในเต๊นต์ของเขา. เธอยิ่งสะเทือนใจ. มิได้จบแค่นั้น ยังไปมีบทบาทต่อเพื่อยืนยันค่านิยมเรื่องการเก็บผ้าปักที่ผู้หญิงให้ ว่าสำคัญอย่างไรในสังคมยุคนั้น.  เมื่อโม่เจียงเห็นผ้าผืนนั้นและรู้ว่ามู่หลันเป็นคนปัก ก็เข้าใจความรู้สึกลึกล้ำของแม่ทัพดี (ตอน46). 

           ผ้าปักดอกซินอี่ฮวาหรือดอก magnolia ในเรื่องนี้เป็นปริศนาตั้งแต่ต้นเรื่อง  เมื่อชุนโชว หลานบุญธรรมที่อยู่กับปาครูเฒ่า แอบเปลี่ยนผลงานของมู่หลัน(ผ้าปักรูปดอกโบตั๋น) ให้เป็นดอกซินอี้ฮวา สำหรับใช้ในการประกวดตำแหน่งช่างปักมือหนึ่ง. ทำให้มู่หลันถูกจับต้องโทษประหาร. เธอร้องว่านั่นไม่ใช่ผลงานของเธอ. แต่ไม่มีพยานยืนยัน.  
ข้อนี้เป็นประเด็นที่ช่างปักรุ่นสาวๆไม่เข้าใจว่าทำไม แค่ดอกไม้ดอกเดียวนั้นจึงแตะต้องหรือพูดถึงไม่ได้เลยในดินแดนเว่ย.  เมื่อทั่วป๋าเทาขึ้นเป็นจักรพรรดิได้ประกาศยกเลิกกฎหมายอาญาฉบับนี้.  พระราชสารจากจักรพรรดิมาถึงอู่เฟิ่งกู่วันเดียวกับที่มู่หลันจะต้องโทษประหารพอดี  มู่หลันจึงรอดตาย. ความหมายของดอกไม้นี้ค่อยๆคลี่คลายออก. เรื่องมีอยู่ว่า จักรพรรดิเว่ยองค์ก่อนมีพระสนมคนหนึ่งชื่อ ฉันฮวา (Lady Can Hua) เมื่อเข้าไปอยู่ในวังได้ให้กำเนิดโอรสชื่อทัวป๋าเซ่า(โอรสองค์โปรดของจักรพรรดิองค์ก่อน จักรพรรดิแต่งตั้งให้ครองตำแหน่งฌิงเฮ๋อหวัง ทัวป๋าเซ่าตั้งแต่อายุ15 แล้ว โดยปริยายก็จะขึ้นครองเป็นจักรพรรดิเว่ยองค์ต่อมา)  ในวัยสาวนั้น ก่อนที่จะถูกส่งตัวไปเป็นพระสนมของจักรพรรดิ ฉันฮวาเคยรักกับฉันกงจื่อ(บุตรคหบดีตระกูลเลี้ยงไหมทำไหมที่มีชื่อเสียง  มีเลือดครึ่งเว่ยครึ่งโหรวหรัน) ทั้งสองรักใคร่กัน เหมาะสมกัน แต่เมื่อเข้าเป็นพระสนม ความรักของทั้งสองกลายเป็นความทุกข์ทรมานใจ และแม้ฉันฮวาเป็นพระสนมแล้ว ก็ยังแอบติดต่อกันอยู่โดยใช้ดอกซินอี้ฮวาสื่อสารกัน.  พระนางปักดอกซินอี้ฮวาเสมอ ปลูกต้นไม้นี้รอบวัง.  จักรพรรดิต่อมารู้ความจริงเข้า ออกกฎหมายห้ามทุกอย่างเกี่ยวกับดอกไม้นี้.  จินกงจื่อหนีออกจากเว่ยไปอยู่ที่โหรวหรัน และได้เข้ารับราชการกับข่านของโหรวหรัน ได้ดิบได้ดีจนขึ้นเป็นมหาอำมาตย์แห่งโหรวหรันชื่อจินฉันจื่อ  ข่านยังให้เขาสั่งสอนยุทธวิธีแก่เจ้าชายของโหรวหรัน ตัวหลุนเรียนการศึกการต่อสู้จากเขา.  ส่วนพระนางฉันฮวาก็หายตัวไปโดยไม่มีใครรู้ว่าอยู่หรือตายประการใด (ความจริงมิได้หายไปไหน แต่ถูกกักตัวอยู่ในความลึกลับและความกว้างใหญ่ของวังใน(ในวังฤดูหนาว). ทัวป๋าเซ่าลูกชายอยากแก้แค้นให้แม่ โกรธแค้นจักรพรรดิ เป็นกบฎต่อต้านพระองค์ แต่ถูกจับได้ ต้องโทษประหาร. มีทหารคนสนิทมาช่วยให้หนีไปได้.  เขาปลอมตนเป็นเด็กรับใช้หมอหลัว(ชื่อเสี๋ยวซันจื่อ) เปิดอาคารพยาบาลที่อู่เฟิ่งกู่.  เมื่อหมอหลัวถูกจับ เขาหนีออกจากอู่เฟิ่งกู่ไปเป็นหมอในค่ายทหารของแม่ทัพเซี่ย (ไปพบฮวาหู/มู่หลัน).  ในใจคิดกำจัดจักรพรรดิเว่ยคนใหม่ผู้เป็นน้องต่างมาดา(ทั่วป๋าเทา)  เขาต้องการให้โหรวหรันกับเว่ยมีศึกสงคราม เพื่อที่เขาจะกลับไปชิงบัลลังก์จากจักรพรรดิทั่วป๋าเทา.  เตรียมวางยาพิษทั่วป๋าเทาผู้บาดเจ็บจากสนามรบ แต่ถูกแม่ทัพเซี่ยจับได้เสียก่อน  มีทหารมาช่วยให้หนีออกไปจากวัง.  เขาหนีไปอยู่ในค่ายของโหรวหรัน.  พระนางฉันฮวาผู้เป็นแม่บอกให้เขาจำบทกลอนไว้บทหนึ่ง และหากไร้ที่พึ่งให้ไปหาจินฉันจื่อที่โหรวหรัน. ทัวป๋าเซ่าท่องบทกลอนที่จินฉันจื่อแต่งให้แม่ พร้อมทั้งให้ดูผืนผ้าไหมที่แม่ปักกลอนบทนี้ไว้  ทำให้จินฉันจื่อรู้ตำแหน่งและฐานะที่แท้จริงของทัวป๋าเซ่า.  ในสมัยนั้น ข่าวสารที่ส่งไปมานั้น เขียนด้วยหมึกลงบนผืนผ้าไหม แต่กรณีที่เป็นกลอนรักหรือกลอนพิเศษ ก็ใช้วิธีปักลงบนแพรไหมเลย.  
            เช่นนี้เองระหว่างที่อยู่อู่เฟิ่งกู่ ทัวป๋าเซ่าได้ส่งสารความเคลื่อนไหวของแม่ทัพเว่ยและการปักผ้าไหมวิวาห์ให้จินฉันจื่อรู้โดยใช้ดอกซินอี้ฮวาในการติดต่อ. เขาวางแผนฆ่าช่างปักผ้าทีละคน.  ทั้งได้ใช้ซินอี้ฮวาแผ่ความกลัวในหมู่บ้านปักผ้า.  หลังจากที่เกิดฆาตรกรรมสองครั้ง มีการลอบทำร้ายมู่หลันอีกสามครั้ง  ทำให้ชาวเมืองหวาดกลัวที่เห็นใบปลิวรูปดอกซินอี้ฮวาทั่วไปตามถนนในหมู่บ้าน.  มู่หลันทั้งๆที่ตามองไม่เห็น ได้ปักดอกซินอี้ฮวาลงบนผ้าคลุมไหล่หนึ่งดอก  คลุมไหล่ออกไปเดินในหมู่บ้านให้ทุกคนเห็น  เพื่อสยบความกลัวเกี่ยวกับดอกไม้นี้ และเตือนสติชาวบ้านทุกคนว่า คนร้ายเจตนากลั่นแกล้งหมู่บ้าน  จงใจสร้างความหวาดกลัว  แต่ชาวบ้านต้องไม่กลัวและต้องปักผ้าวิวาห์ให้สำเร็จให้ได้. โม่เจียงเห็นความเด็ดเดี่ยวของมู่หลัน บวกความรักที่มีต่อเธอ ตัดสินใจกลับไปโหรวหรัน นำยาถอนพิษควันที่คนของเขาเองปาใส่มู่หลันเพื่อให้เธอตาย  แต่เธอไม่ตาย ตาบอดเท่านั้น.  จากจุดนั้น โม่เจียงเปลี่ยนความตั้งใจมาช่วยคุ้มครองมู่หลันและช่วยให้การปักผ้าดำเนินต่อไป. 
            พระนางฉันฮวาขึ้นชื่อว่าเป็นช่างปักผ้าฝีมือดีเยี่ยมในแผ่นดิน  มู่หลันต่อมาเข้าไปหาพระนางที่ตำหนักฤดูหนาว  ขอให้ช่วยสอนวิธีการต่อผ้าที่ไม่ทิ้งร่องรอยหรือตะเข็บให้เห็นเลย(ตอน17)  เมื่อมู่หลันได้เข้าพบพระนางฉันฮวา เห็นว่าในที่ประทับมีภาพปักดอกซินอี้ฮวาเต็มไปหมด. พระนางยังไม่ลืมคนรักเก่าและตื่นตระหนกเมื่อเห็นว่ามู่หลันทำพิธีรำมือนวดแขนและนิ้วมือแล้วแช่ลงในอ่างน้ำผสมสมุนไพร ในแบบที่เธอทำทุกครั้งก่อนลงมือปักผ้า.  ที่อู่เฟิ่งกู่ทุกคนเชื่อว่าหมอหลัวเป็นผู้คิดวิธีนี้ขึ้น  (ความจริงคือทัวป๋าเซ่า/เสี่ยวซันจื่อ บอกให้หมอหลัวสอน ตามแบบที่เขาเคยเห็นแม่ทำในวัง)  จินฉันจื่อเจาะจงให้รวมซินอี้ฮวาเข้าไปในผ้าปักไหมวิวาห์. เขาเองเป็นคนเลือกแบบปักที่รวมดอกไม้ ๑๐๐ ดอก.  จักรพรรดิทั่วป๋าเทาได้ยกเลิกกฎหมายอาญาที่จักรพรรดิผู้พ่อบัญญัติขึ้น. มู่หลันรอดตายมาได้ และต้องดูแลควบคุมการปักผ้าไหมวิวาห์ต่อไป.    
            ทัวป๋าเซ่าหนีเข้าไปอยู่ในอารักษ์ขาของจินฉันจื่อ  นโอกาสที่ทัวป๋าเซ่าจะทำพิธีปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิเว่ย (บนดินแดนโหรวหรัน) แข่งบารมีกับจักรพรรดิทั่วป๋าเทาผู้เป็นน้องต่างมารดาและครองเว่ยต่อมา.  เขาสั่งให้ฝูหลิงปักดอกซินอี้ฮวาลงบนเสื้อคลุมที่เขาจะสวมในพิธี  เจาะจงว่าเพราะเขาสูญเสียทุกอย่างเพราะดอกไม้นี้  จึงต้องการให้ดอกไม้นี้เป็นพยาน ติดตัวตามเขาไปขึ้นนั่งบนบัลลังก์(ตอน45)  เรื่องซินอี้ฮวาจึงเป็นเช่นนี้. ในที่สุดทัวป๋าเซ่าถูกมู่หลันใช้วิชา “เข็มบิน” ฆ่าตาย แก้แค้นให้แม่ของฝูหลิง, แม่ของมู่หลัน, แม่ทัพเซี่ย หลายชีวิตที่จบลงเพราะความพยาบาทมาดร้ายของเขาต่อราชวงศ์เว่ย.  เขาเองพูดว่า คงเป็นชะตากรรมของเขาที่เป็นลูกช่างปักไหมฝีมือดีที่สุดของแผ่นดิน ต้องจบชีวิตลงด้วยเข็ม. ฉากตายของทัวป๋าเซ่า น่าชมไม่น้อย เมื่อมู่หลันปล่อยเข็ม เข็มพุ่งผ่านแพรไหมหลากสีที่ดึงประลองกำลังกันอยู่  ผ้าแพรหมุนไปมาแล้วกระจายออก ชายผ้าลอยตัว.  เข็มทะลุผ้าปักดอกซินอี้ฮวาไปยังทัวป๋าเซ่า สิ้นชีวิตลงทันที. เช่นนี้ดอกซินอี้ฮวาเป็นกุญแจที่นำไปสู่ตัวคนร้ายที่แท้จริง.
(https://www.youtube.com/watch?v=HpsOlbmbUgI   นาทีที่ 30:55-34:48 )

            เข็ม มีบทบาทสำคัญในเรื่อง นอกจากการเป็นเข็มเย็บเข็มปักผ้าแล้ว  เข็มได้กลายเป็นอาวุธฆ่าหัวหน้าทีมปักผ้าไหมวิวาห์.  เป็นเข็มที่ไม่มีรูที่ปาครูเฒ่าใช้ในการฝึกทักษะและความแม่นยำ. ปาครูเฒ่าเองเป็นช่างปัก(สมัยก่อนช่างปักเป็นทั้งผู้หญิงและชาย) และได้ปักภาพภูมิทัศน์ของเทือกเขาและแม่น้ำ (山水 ซันสุ่ย sansui)ไว้อย่างงดงาม.  แม่ทัพเซี่ยเห็นแล้วตลึงจังงันกับความละเอียดประณีตและพลังของเทือกเขาในผ้าปักนั้น(ตอน2)  ปาครูเฒ่าบอกว่าปักเมื่อสิบปีก่อน หลังจากนั้นก็มิได้ปักผ้าอีกเลย  (เขามีอ่างน้ำแช่มือเป็นทองคำจารึกว่า เป็นช่างปักมือหนึ่งของประเทศ ซึ่งเป็นรางวัลจากจักรพรรดิ. แม่ทัพเซี่ยก็ไปขอคำแนะนำ เขาจึงเป็นที่ปรึกษาและเป็นผู้จัดการคัดเลือกช่างปักฝีมือดีเพื่อปักผ้าไหมวิวาห์  ต่อมาเขาประกาศยกอ่างแช่มือทองคำให้มู่หลัน(ตอน14) เพราะเห็นฝีมือเธอและเพื่อมอบตำแหน่งหัวหน้าทีมงานที่มีความรับผิดชอบสูงให้เธอ  (แต่ในตอนต่อๆมาไม่เห็นว่ามู่หลันใช้อ่างน้ำทองคำนี้ จนในฉากปักเชื่อมผ้าไหมสี่ฤดูให้ต่อติดกัน ฉากนั้นอ่างน้ำแช่มือเป็นอ่างทองคำ ตอน19)  เมื่อมู่หลันมือสั่นเพราะพิษสารย้อมสีเหลืองเข้าไปทำลายเส้นประสาทของกล้ามเนื้อแขนและนิ้ว  ปาครูเฒ่าสอนกลยุทธ์การใช้ “เข็มบิน” แก่เธอเพื่อฝึกสมาธิของมู่หลัน ให้เอาจิตออกจากความเจ็บของมือ ให้ลืมมือ ลืมเข็มที่ถืออยู่ แม้กระทั่งลืมตัวเอง ให้เพ่งจิตอยู่ที่เป้าเท่านั้น แล้วปล่อยเข็มให้บินออกจากมือไป. 
มู่หลันฟังคำอธิบายจากปาครูเฒ่า ในระหว่างการฝึกวิชา “เข็มบิน”
ในที่สุดมู่หลันได้พัฒนาสมาธิ พลังจิตและความแม่นยำ  ความบกพร่องของประสาทมือหายไป. ปาครูเฒ่าปลาบปลื้มยินดี ด้วยไม่เคยคิดว่า วิชาเข็มบินนี้จะมีส่วนช่วยการปักผ้าวิวาห์ของหมู่บ้านได้. นั่นคือช่วยมู่หลันได้ เท่ากับช่วยให้เธอปักผ้าต่อไป เพราะหากไม่มีมู่หลัน ผ้าปักไหมไม่เสร็จแน่ (ตอน7และ8).  เมื่อแม่ทัพเซี่ยและฮวาหูส่งทหารไปขอบริจาคผ้าไหมจากอู่เฟิ่งกู่เพื่อไปใช้เป็นอาวุธพิชิตเมืองเซิ่งเล่อ  ปาครูเฒ่ายินดีมอบผ้าปักภูมิทัศน์ที่เขาปักเองให้  ทุกคนตกตลึงห้ามไว้เพราะรู้ว่าผ้าปักนั้นมีค่ามากเพียงใด  ปาครูเฒ่าบอกว่า ค่ามันสูงมาก เพราะครูปักมันอยู่นาน ทุ่มเททั้งพลังจิตและพลังกาย แต่เมื่อเทียบกับทหารทั้งหลายที่เสี่ยงชีวิตไปรบป้องกันก๊กเว่ยแล้ว  ค่าของมันไม่เท่าค่าความมั่นคงของชาติ (ตอน32)  ทุกคนในที่สุดต่างมอบผ้าไหมผ้าปักของรักของหวง ออกบริจาคให้นำไปให้แม่ทัพเซี่ย. 
            การเรียนเรื่องเข็มจากปาครูเฒ่านี้ ทำให้ต่อมามู่หลันเป็นคนแม่นธนู  กลายเป็นความสามารถพิเศษที่ช่วยให้เธอได้เข้าอยู่ในทีมหน่วยกล้าตายของกองกำลังเฉพาะกิจ Yuchi.  ซึ่งนับว่าช่วยสร้างความสมจริงแก่ตัวละครมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง.  ผู้แสดงเป็นมู่หลันเป็นคนตัวเล็กมาก แต่เธอคงมีความคล่องแคล่วและรู้วิธีการของคุงฟูพอสมควรทีเดียว ที่ทำให้เธอสามารถกระโดดตัวลอยในท่าผาดโผนต่างๆเช่นวิ่งไปบนโล่ของกองทหาร หรือยืนบนหล้งม้าสองตัวเป็นต้น.
เมื่อรู้ว่ามู่หลันใช้ธนู ตัวหลุนทำคันธนูด้วยไม้ขนาดเล็กและเบา เหมาะกับมือของมู่หลัน คันธนูยังพับให้เล็กลงได้ ใส่กระเป๋าติดข้างตัวได้  ให้เธอใช้เป็นอาวุธในสนามรบ(ตอน25)  แม้จะตระหนักว่าวันหนึ่งอาจตายด้วยธนูที่เขาทำให้เธอเอง.  มู่หลันเคยเอาธนูจ่อหน้าอกเขา ขู่จะยิงเขา (ตอน29)  แต่ในที่สุดก็ปล่อยไป บอกให้เขาลืมเธอเสีย เพราะต้องรบฆ่าฟันกันในสนามรบ.  ตัวหลุนยืนยัน “ข้าจะเป็นศัตรูที่รักเจ้า” และเมื่อมู่หลันถูกยิงด้วยธนูจากฝ่ายโหรวหรัน เขาทำท่าฟันลงสองมือ ซึ่งทำให้พวกทหารเชื่อว่าเขาฆ่าศัตรูแล้ว แต่ในความจริง ดาบที่เขาทำท่าปักลงบนกลางตัวมู่หลัน ปักลงบนดินข้างตัวเธอ  พวกทหารฝ่ายเว่ยมาลากตัวมู่หลันกลับไป(ตอน31)
( https://www.youtube.com/watch?v=_IIn1XWtTlM  นาทีที่ 0:15-08:20)
                                                  
 คันธนูใหญ่ที่ทหารปกติใช้ เมื่อเทียบขนาดส่วนสูงของมู่หลัน 



     ความคล่องแคล่วแบบนักกายกรรมยิมนาสติกของนักแสดงหญิง           

 


มู่หลันใส่ชุดแม่หม้ายของฝูหลิง(เมื่อข่านโหรวหรันถูกฆ่าตาย) 

เมื่อออกนอกวัง จะปิดหน้าเหลือเพียงบริเวณตา ทำให้เธอสามารถผ่านเข้าไปในวังของทัวป๋าเซ่า

เรื่องเข็มบินหายไปจากหลังจากตอนที่ 8 และปรากฏเป็นครั้งสุดท้าย (ตอน45)  เมื่อมู่หลันดึงเข็มออกจากมวยผม เป็นอาวุธเดียวที่เธอมีและเอาติดตัวเข้าไปในวังของทัวป๋าเซ่า และฆ่าศัตรูได้ในที่สุด. (ดูคลิปที่ให้ไว้ในดอกซินอี้ฮวา ข้างบนนี้)

          รายละเอียดที่เชื่อมเรื่องมิได้ถูกลืมคือ มู่หลันนำกระปุกเข็มของปาครูเฒ่าติดตัวไปเมื่อไปเกณฑ์ทหาร(ตอน21)  ความคุ้นเคยกับฝีมือปักผ้ายอดเยี่ยมของแม่(พระนางฉันฮวา)ที่ปักดอกซินอี้ฮวาจำนวนมาก ยังถูกมู่หลันนำไปใช้ล่อให้ทัวป๋าเซ่าเรียกตัวฝูหลิงเข้าไปในวัง  เมื่อทัวป๋าเซ่าเห็นดอกซินอี้ฮวาบนเสื้อคลุมที่เขาจะใช้ในพิธีราชาภิเษก มีตำหนิ (มู่หลันจงใจดึงด้ายออกหนึ่งเส้น) เขาทนดูตำหนิแบบนั้นไม่ได้ และส่งทหารไปรับตัวฝูหลิง(ผู้ปัก)เข้าไปในวัง  เช่นนี้เปิดโอกาสให้มู่หลันสวมลอยเป็นฝูหลิงเขาไปพบทัวป๋าเซ่าและได้ใช้เข็มหนึ่งเล่มจากกระปุกของปาครูเฒ่าฆ่าทัวป๋าเซ่าสิ้นใจในที่สุด. ตอนจบมู่หลันได้นำกระปุกเข็มกลับมาที่อู่เฟิ่งกู่ไปรายงานหน้าหลุมศพของปาครูเฒ่าว่าได้ฆ่าศัตรูผู้ทรยศต่อแผ่นดินแล้ว หลังจากนั้นก็ฝังกระปุกเข็มลึกลงในดินตรงหน้าหลุมศพของปาครูเฒ่าเพราะเธอได้สัญญากับปาครูเฒ่าว่า จะไม่ใช้เข็มฆ่าใคร(เจาะจงไว้ในตอน45) แต่ที่เธอต้องทำเพราะคนนี้เป็นคนทรยศต่อแผ่นดินและเธอไม่มีอาวุธอื่นใดนอกจากเข็ม (ตอน 48).  ครบวงจรเรื่องเข็มอย่างสมบูรณ์.



            มู่หลันรู้ว่าจุดอ่อนของโม่เจียงอยู่ที่หัวใจของเขา รู้ว่าเขาไม่ลืมเธอ.  แต่ตัวหลุนในฐานะของเจ้าชายโหรวหรัน เขาเข้มแข็ง แกร่งในการศึก.  การตีเมืองเซิ่งเล่อที่ตัวหลุนยึดไว้ได้นั้น ไม่มีทางอื่นนอกจากจี้เข้าไปที่จุดอ่อน และผ้าปักไหมคืออาวุธที่มู่หลันใช้เพื่อยึดเมืองเซิ่งเล่อคืน แม้จะรู้ว่านี่จักเป็นการเชือดเฉือนใจของตัวหลุนมากสุดๆก็ตาม  แต่เป็นวิธีเดียวที่จะเอาชนะตัวหลุนได้.  เธอใช้กลอุบายบรรทุกผ้าปักไหมสวยงามทั้งหมดจากอู่เฟิ่งกู่ เป็นสี่เล่มเกวียน เดินเป็นกองคาราวานพ่อค้าขายไหม ตรงไปที่ประตูใหญ่ของเมืองเซิ่งเล่อ  ขอผ่านเข้าไปในเมือง โดยมีเธอและทหารซ่อนอยู่ภายในกองสินค้าไหมบนเกวียน  (ในแบบของม้ายักษ์ในสงครามแห่ง Troy ในเทพปกรณัมกรีก)

 

แม่ทัพเซี่ยเห็นผ้าปัก “ซันสุ่ย” ของปาครูเฒ่าที่บริจาคมาเพื่อใช้เป็นอาวุธสงคราม
ตื่นตันในความเสียสละของรักของหวงของชาวอู่เฟิ่งกู่
ทุกอย่างเป็นไปตามคาด  เมื่อรู้ว่าเป็นกองคาราวานค้าไหมจากอู่เฟิ่งกู่  ตัวหลุนสั่งให้เปิดประตูเมืองให้เกวียนผ่านเข้าไปภายในกำแพง และรับซื้อผ้าไหมทั้งหมด สั่งให้ทหารคุมเกวียนทั้งหมดไปไว้ที่เต๊นต์ของเขา.  ตัวหลุนจำผ้าปักไหมเหล่านั้นได้ ผืนใดมาจากบ้านใด เมื่อเห็นผืนที่มู่หลันปักรวมอยู่ด้วย  พูดออกมาว่า “ดอกไม้ที่เธอปัก มีชีวิตมีวิญญาณเหมือนตัวเธอ.  เห็นแล้วก็เกือบได้กลิ่นหอมดอกไม้เลย  ภาพที่เธอนั่งปักดอกไม้ ก็ไม่ผิดภาพจิตรกรรม สายตาเพ่งมองที่งานปัก มือเธอก็เบาแสนเบา และมีรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากเสมอ ”  ฮวาหูผู้ซ่อนอยู่ในเกวียนได้ยินก็สะท้อนถอนใจ  แต่เธอไม่มีทางเลือกอื่น.  ฮวาหูและทหารที่ซ่อนอยู่ในเกวียนออกมาสู้กับกองทหารของตัวหลุนภายในกำแพง  ก่อความสับสนและการต่อสู้อยู่ภายใน เปิดโอกาสให้แม่ทัพเซี่ยยกเข้าทะลายประตูเมืองได้สำเร็จ  ตัวหลุนรับศึกสองด้าน  ทหารทั้งสองฝ่ายต่อสู้ฟาดฟันกัน  เมื่อฮวาหูและตัวหลุนเผชิญหน้ากันจังๆ  ตัวหลุนจึงเข้าใจกลอุบายของมู่หลัน เขาคิดไม่ถึงว่ามู่หลันจะกล้าใช้ความรู้สึกของเขาเองมาเป็นอาวุธประหัตประหารเขา  เพราะผ้าปักไหมสำหรับเขาเป็นสัญลักษณ์ของความรักความผูกพันที่เขามีต่อเธอ.  เขาโกรธมาก ต่อว่ามู่หลันว่าเป็นคนไร้หัวจิตหัวใจได้ถึงเพียงนั้น. มู่หลันหลบสายตา บอกตัวหลุนให้ถอยออกไปเสียเพราะกองทหารของแม่ทัพเซี่ยกำลังบุกเข้าจู่โจมเมืองจากด้านหน้า.  ตัวหลุนหุนหันจากไป ได้ยินเสียงเรียกให้ช่วยจากเฮอหง (He Hong ลูกสาวของมหาอำมาตย์จินฉันจื่อ) เพราะทหารของมู่หลันเข้าล้อมเธอ.  ในที่สุดเขาสั่งถอยทหารทั้งหมดออกไปจากเมือง ยอมแพ้.  แม่ทัพเซี่ยและฮวาหูยึดเมืองเซิ่งเล่อคืนได้สำเร็จ (ตอน 32-33)  ตัวหลุนบอกว่า สงคราม ฉีกสิ่งที่มีค่าที่สุดให้ขาดวิ่นลง  ความรู้สึกสวยงามและดีๆแหลกลงเป็นชิ้นเล็กๆ...  

            เฮอหงหลงรักตัวหลุนมานาน เพราะเติบโตมาด้วยกัน.  จินฉันจื่อผู้พ่อ เป็นมหาอำมาตย์ของข่าน และเป็นครูสอนยุทธวิธีแก่เจ้าชายของโหรวหรันสองพี่น้อง(อู่ตี้และตัวหลุน).  เฮอหงเป็นลูกสาวคนเดียวท่ามกลางผู้ชายจึงกล้าแบบเด็กผู้ชาย เล่นกับมีดกับดาบ ขี่ม้ายิงธนู.  เธออิจฉามู่หลันและอยากกำจัดเธอเพราะรู้ว่าตัวหลุนยังรักเธอเสมอ จึงสั่งเผาผ้าปักไหมที่มากับเกวียนเพราะไม่อยากให้ตัวหลุนเห็นผ้าไหมเหล่านั้น ไม่อยากให้เขาคิดถึงเธออีก. ตัวหลุนมาทันสั่งให้ดับไฟที่กำลังลุกเผาไหม้ผ้าปักบนเกวียน(ตอน33)   ต่อมาเมื่อตัวหลุนอธิบายให้ฟังดีๆว่า อู่เฟิ่งกู่ไม่ใช่มีแต่มู่หลัน แต่มีผ้าไหมผ้าปักสวยๆงามๆ. เป็นศิลปะที่เขาชื่นชมมาก จะทำลายของสวยงามอย่างนั้นได้อย่างไร และผู้หญิงยามนั่งปักผ้าดูสวยงามน่ารักน่าถนอม.  เฮอหงพอเข้าใจ ก็เริ่มเรียนปักผ้าเพื่อให้ตัวหลุนรักเธอ(ตอน35)   



การดำเนินเรื่องเช่นนี้ปูทางให้เฮอหงไปพบฟูหลิงมเหสีของข่าน. ในที่สุดเฮอหงได้ร่วมมือกับมู่หลันช่วยตัวหลุนออกจากคุก ปล่อยให้พ้นเงื้อมมือของพ่อเธอเอง.  เธอเสียใจอยู่เสมอที่พ่อเธอคิดร้ายต่อตัวหลุน  เธอยอมสละชีวิตเพื่อช่วยคนที่เธอรัก  ก่อนเชือดคอตนเองด้วยมีดของพ่อ เธอตะโกนตามหลังตัวหลุนไปว่า ถ้าชาติหน้ามีจริง เธอขอให้ตัวหลุนรับเธอเป็นเมีย.  ตัวหลุนพูดถึงเฮอหงว่า เป็นคนดี และหวังว่าชีวิตในภพต่อไป เธอจะพบชายที่รักเธอ ถนอมเธอ รู้ค่าเธอ มีความเคารพและความรักให้แก่กัน และมีความสุขด้วยกัน(ตอน46)  มู่หลันบอกว่า เมื่อมองดูผิวเผิน เฮอหงเหมือนเด็กที่ถูกตามใจ พูดจาไม่กลัวใครตามประสา สาวน้อยพันชั่ง แต่ในความเป็นจริง เธอเป็นคนน่าสงสาร เป็นเด็กที่ขาดความรัก  พ่อเธอใช้เธอเป็นเครื่องมือไต่เต้าสู่ที่สูง แต่เธอยังโชคดีที่สามารถตายเพื่อคนรักของเธอ. มู่หลันบอกตัวหลุนว่า นี่เป็นความสุข เป็นโชคอย่างหนึ่ง.   

            หลังจากที่เจ้าชายตัวหลุนไปอยู่ที่อู่เฟิ่งกู่ในฐานะพ่อค้าขายม้าชื่อโม่เจียง ทำความรู้จักกับสาวช่างทอช่างปักผ้า ได้เห็นความพยายามของชาวเมืองที่อยากช่วยให้การปักผ้าไหมวิวาห์ให้สำเร็จ ด้วยความหวังว่าผ้าปักไหมนั้นจักเป็นสิ่งยืนยันความต้องการสันติภาพของชาวเว่ย.  ความรักสันติภาพผลักดันช่างปักทุกคนให้มุ่งมั่นทำต่อไปจนเสร็จไม่ว่าจะมีเหตุการณ์เลวร้ายเพียงใดเกิดขึ้น.  เขาได้เห็นความลำบากและการตายของหัวหน้าทีมปักผ้า เห็นความทุกข์ของมู่หลันที่ถูกกลั่นแกล้งลอบทำร้ายทั้งจากคนของเขาเองและจากฆาตรกรที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าใคร  แต่ทั้งหมดก็มิได้ทำลายความมุ่งมั่นร่วมกันของชาวเมือง.  เขาเข้าใจดีว่าสงครามไปทำร้ายทารุญต่อครอบครัวแต่ละครอบครัวอย่างไร  ยิ่งได้เห็นความงามของผ้าปักทั้งหลายของชาวเว่ย  เขายิ่งไม่เห็นด้วยกับการทำสงคราม. โม่เจียงได้พยายามหว่านล้อมจินฉันจื่อให้เลิกคิดทำสงครามกับก๊กเว่ย  หว่านล้อมข่านผู้พ่อให้พัฒนาความมั่งคั่งด้วยการพัฒนาวัฒนธรรมที่จะยั่งยืนต่อไปไม่สิ้นสุด  เขาพูดว่า “ไม่ว่าชาวโหรวหรันจะสามารถเดินทางไปไกลพันลี้ในหนึ่งวัน  ก็ยังไม่เคยไปไกลเกินแม่น้ำเหลือง. ไม่ว่าเราจะขี่ม้าไปได้เร็วแค่ไหน ไปไกลแค่ไหน ก็ไม่เคยไปเกินกว่าพันลี้.  แต่เจ้าหนอนไหมตัวน้อยในอาณาจักรกลาง(เว่ย) ไปบนเส้นทางสายไหมและต่อไปไกลถึงตะวันตกไปถึงเปอเชีย.  นั่นคืออำนาจของวัฒนธรรม.  วัฒนธรรมไม่เพียงแต่นำความร่ำรวยมา ยังนำอิทธิพลของชาติหนึ่งแพร่ข้ามไปทุกมหาสมุทร  แผ่ออกไปร้อยเอ็ดเจ็ดน่านน้ำ.  ขอให้นึกถึงเชื้อสายตระกูลทั่วป๋า(Tuo Ba) แต่เดิมเป็นเพียงเผ่าหนึ่งที่พเนจรไปมาในทุ่งกว้าง  แต่เพราะพวกเขารวมวัฒนธรรมของอาณาจักรกลางและสถาปนาแคว้นเว่ยขึ้น พวกเขาได้กลายเป็นประเทศที่มีอำนาจมาก. นี่คืออำนาจของวัฒนธรรม. ในขณะที่พวกเราชาวโหรวหรันพยายามชนะสงครามแต่ละครั้ง สิ่งที่เราได้จากสงครามนั้นมีจำกัดมาก.  ทำไมเราไม่เลิกทำสงคราม และเริ่มเรียนจากวัฒนธรรมของอาณาจักรกลาง เพื่อสร้างโหรวหรันให้เป็นประเทศมั่นคงจริงๆ ”  แม้ว่าข่านผู้พ่อจะเห็นด้วย แต่การปลูกฝังวัฒนธรรมนั้นใช้เวลานานเป็นร้อยเป็นพันปี  ความอยู่รอดของโหรวหรันในนาทีปัจจุบัน บังคับให้ต้องใช้กำลังช่วงชิงเท่านั้น  ถ้าไม่แสดงพลังอำนาจ เผ่าอื่นก็จ้องจะบุกรุกชิงดินแดนของโหรวหรัน.  อย่างไรก็ดี ข่านก็มิได้ตัดเรื่องการปลูกฝังพัฒนาศิลปะไปเสียเลย  ความรักเอ็นดูในตัวฝูหลิงเจ้าหญิงจากเว่ย  ทำให้ข่านสั่งสร้างโรงเรียนสอนการทอการปักผ้าให้ฝูหลิงเป็นคนดำเนินงาน(ตอน31)   นี่ก็เป็นการสานเรื่องที่ดี  การเปิดโรงเรียนดังกล่าวเปิดช่องทางใหม่อีกหนึ่งช่องทางแก่ฝ่ายเว่ย ให้เข้าถึงวังในของโหรวหรันโดยมีฝูหลิงเป็นผู้ช่วย.   

           โม่เจียง/ตัวหลุน เป็นตัวละครเอกฝ่ายชาย  บทบาทของเขาอาจเหมือนกระบอกเสียงของคณะผู้สร้างหนังชุดนี้ ที่สะกิดเตือน วิพากษ์วิจารณ์วิถีสังคม สังคมที่มุ่งสู่ความมั่งคั่งเป็นหลักดังที่ประเทศจีนเป็นอยู่ในปัจจุบัน.  เขาอาจเป็นตัวแทนชาวจีนที่ยังหวงแหนขนบธรรมเนียมดีๆโบราณที่ถูกลืม.  การเอาศิลปะการทอไหมและการปักผ้าไหมมาเป็นฐานเพื่อก่อขึ้นเป็นกำแพงปกป้องวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีน ที่กำลังถดถอยสูญหายไปจากจิตสำนึกของคนจีนสมัยใหม่  นับเป็นการเลือกหัวข้อวัฒนธรรมที่ดีที่สุดของจีน ให้มาเป็นหัวรถจักรไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนพาเรื่องราวพัฒนาต่อไปได้ด้วยดีตั้งแต่ต้นไปจนจบ  เป็นหัวข้อที่ง่ายที่สุดด้วยในแง่ของการถ่ายทำ  ทั้งยังไม่ต้องลงทุนสร้างฉากที่ซับซัอนราคาแพง. 




          การแทรกขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมธรรมรูปแบบหนึ่งแบบใดในการสร้างภาพยนตร์หรือในงานประพันธ์ทุกประเภท  ทำกันมาแล้ว  ส่วนใหญ่แทรกเข้าแล้วก็เลือนหายไปในเรื่อง ไม่มีการย้อนกลับ เอาประเด็นนี้ไปสานต่อกับประเด็นอื่นๆในเรื่อง รวมกันไปจนจบเรื่อง (ข้าพเจ้านึกถึงเรื่องสี่แผ่นดิน ที่มีฉากเกี่ยวกับผ้าไหม การทำ การเข้าชุดผ้าสะไบ ผ้าถุง สีไหนควรใส่คู่กับสีใด จบฉากนั้นแล้วก็แล้วกันไป  หรือในเรื่อง Ulysses ที่ Penelope ภรรยาทอผ้าทุกวัน ตกดึกก็ดึงที่ทอไว้ให้ลุยออก เพื่อเลื่อนเวลาให้ผ้าทอผืนนั้นไม่เสร็จ หลังจากที่ถูกบังคับให้เลือกสามีคนใหม่เพราะ Ulysses ไม่กลับมาหรือตายไปแล้วในสงคราม Troy และนางบอกว่าขอทอผ้าห่อศพให้พ่อของUysses ให้เสร็จก่อนแล้วจะตัดสินใจเลือกสามีคนใหม่ )  ในภาพยนตร์ชุดนี้ ประเด็นเรื่องผ้าไหม ผ้าปักยังคงอยู่ต่อไปตลอดเรื่องแม้ในสนามรบ  ถูกใช้เป็นอาวุธในยุทธวิธีการตีเมืองเซิ่งเล่อ  ยังถูกใช้เป็นใบเบิกทางที่ทำให้มู่หลันสวมรอยเข้าไปในวังของทัวป๋าเซ่าและฆ่าเขาตาย  ดังที่ได้ยกมาเล่าข้างต้น.  สรุปได้ว่าเรื่องเริ่มขึ้นที่หมู่บ้านทอไหม และจบลงที่หมู่บ้านนั้น ครบวงจรชีวิต.. ที่จะหมุนต่อไป   

           ทำไมต้องเป็นการปักผ้าไหม  ผ้าไหมรวมสรรพสิ่งที่ธรรมชาติให้มา  ต้นหม่อน หนอนไหม ชีวิตของหนอนไหม ความช่างสังเกตของคนที่ได้เรียนรู้จากชีวิตหนอน แรงงาน ความเพียรในการเข้าถึงและถ่ายทอดธรรมชาติ  การพัฒนาฝีมือการปัก  ปักอะไร ปักภาพธรรมชาติที่เห็น ปักอย่างไร ด้วยทักษะจากประสาทสัมผัสทั้งห้า และเหนือไปกว่านั้นด้วยจิตวิญญาณ.  รูปลักษณ์ในธรรมชาติมิใช่เป็นเพียงสิ่งที่ตาเห็น แต่เป็นสิ่งที่ใจสัมผัสด้วย  ภาพปักชั้นครูจึงรวมจิตวิญญาณของทั้งธรรมชาติและของผู้ปักที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว  ทำให้รูปลักษณ์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ ใบไม้ ภูเขา ทุ่งหญ้า สัตว์ต่างๆ มีชีวิตชีวา  รวมกันทอแสงออกมาจากผืนผ้าไหม เป็นความอบอุ่น เป็นพลัง เป็นความอ่อนโยน หรือเป็นความฝันอันบรรเจิด.  ผ้าปักงามๆทั้งหลายจึงเป็นงานศิลปะสุดยอดที่ตรึงจิตวิญญาณของผู้ที่ได้พบเห็น และนี่คือคุณค่าของงานศิลป์ ที่ลอยตัวขึ้นเหนือสถานที่และกาลเวลา  คืออำนาจของวัฒนธรรมที่ยังคงตรึงใจชาวโลกในยุคปัจจุบันที่มีโอกาสเห็นผลงานผ้าปักของจีนในยุคก่อนๆ  




            โมเจียงเป็นตัวแทนของความตรึงใจดังกล่าว.  ความพยายามผลักดันปลูกฝังคุณค่าของศิลปะนี้ให้คงอยู่ต่อไป ทวนกระแสความต้องการเพื่อการอยู่รอด เพื่อปากท้องของทุกคน. ตอนที่มู่หลันมือสั่นเพราะพิษสารย้อมสีที่ทำลายประสาทกล้ามเนื้อของเธอ  ตอนที่เธอตาบอด  ทุกตอนเน้นและยืนยันความสำคัญของการใช้จิตวิญญาณและสมาธิเพื่อบรรลุการปักผ้าให้งามที่สุด.  ในเรื่องเจาะจงชัดเจนว่า สิ่งที่มู่หลันปักทั้งๆที่ตามองไม่เห็นมีความแจ่มจรัส  มีชีวิตชีวามากกว่าตอนที่เธอตาดีที่ปักเลียนแบบสิ่งที่เห็นเท่านั้น  แต่เมื่อใส่ชีวิตจิตใจลงไปในงาน  ผลที่ได้จึงตรึงใจกว่ามาก.  ปาครูเฒ่าในเรื่องเมื่อเห็นช่างปักรุ่นใหม่ๆเช่นมู่หลัน ภูมิใจว่าช่างปักของอู่เฟิ่งกู่ได้พัฒนาฝีมือขึ้นสูง(ตอน3)   ยิ่งเมื่อได้เห็นผลงานผ้าปักวิวาห์ทั้งผืนที่งามตระการตา เขาปลื้มปิติยิ่งนัก บอกว่า  คุ้มแล้วที่มีชีวิตมา  แม่ทัพเซี่ยก็บอกว่ามีความเห็นตรงกับปาครูเฒ่า และเสริมว่า ผลงานปักชิ้นนี้จะคงอยู่ต่อไป เป็นที่จดจำในประวัติศาสตร์  เชื่อว่าเมื่องานปักชิ้นนี้ไปถึงโหรวหรัน ต้องเป็นที่ตื่นตาตื่นใจอย่างแน่นอน มันเป็นตัวแทนของความเป็นก๊กเว่ย แต่ความบรรเจิดของผ้าปัก ฝีมือทอชั้นเลิศ ฝีมือปักละเอียดประณีต เป็นเพียงส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณของก๊กเว่ยและของชาวเมืองผู้ไม่รู้กลัว เสียสละ เอาชนะความลำบากต่างๆ  นี่คือคุณค่าที่แท้จริงของผ้าปักผืนนี้.  วันนี้ พวกเรามาชุมนุมกันที่นี่ มาเป็นพยานการปักเชื่อมต่อผ้าผืนนี้  เหตุการณ์นี้ต้องเตือนเราทุกคนว่าอย่าลืมคนกล้าทั้งหลายที่ได้ร่วมมือต่อสู้เพื่อให้ผ้าปักนี้สำเร็จสมบูรณ์ เพื่อให้มีสันติภาพระหว่างโหรวหรันกับเว่ย.    

(ตอน19 > https://www.youtube.com/watch?v=qh-CE7Cuei4  นาทีที่ 20:46-20:48).  

ความรู้สึกเมื่อได้เห็นสิ่งสวยงาม ที่ทำให้คิดว่า คุ้มค่าที่เราได้ใช้ชีวิตมาจนถึงนาทีที่ได้ “สัมผัสสิ่งที่วิเศษสุด” เป็นความปลื้มปิติที่มีพลัง ที่ไปหลอมละลายความทุกข์หรือความไร้แก่นสารใดๆในชีวิตที่ผ่านไปให้หมดลง.  นี่คือานุภาพของงานศิลป์.  สิบห้าศตวรรษต่อมาในวัฒนรรมตะวันตก นักเขียนฝรั่งเศส Marcel Proust (ต้นศตวรรษที่ 20) ได้เขียนวิเคราะห์ศิลปะไว้ว่า  อานุภาพของศิลปะนำตัวผู้เสพออกนอกความจำกัดของสถานที่และกาลเวลา เข้าสู่ดินแดนอมตะ หากร่างกายสลายลงในนาทีนั้น ก็ไม่เสียดายเลยเพราะได้เห็นสิ่งที่สวยที่สุดแล้ว  นั่นคือได้เห็นความงามที่อยู่ตรงหน้า และได้สัมผัสจิตวิญญาณของจักรวาลที่มีศิลปินเป็นผู้เปิดทางให้ (cité de mémoire)  ข้าพเจ้าเองเข้าใจความรู้สึกนั้น เมื่อได้ไปเห็นรูปปั้นของ Poseidon ในพิพิธภัณฑ์กรุงอาเธนส์ ที่ตรึงข้าพเจ้าอยู่ตรงหน้า และคิดจริงๆในนาทีนั้นว่า  หากฟ้าผ่าลงตรงนั้น แผ่นดินแยกออก และข้าพเจ้าตายลงที่นั่นอย่างฉับพลัน ก็ไม่เสียดายไม่อาวรณ์โหยหาสิ่งใดทั้งสิ้นทั้งปวง.  

            ศิลปะการปักผ้าไหมของจีนโบราณถูกนำมาเป็นสิ่งกระตุ้นจิตสำนึก ให้เป็นบทเรียนแก่คนยุคใหม่  ในขณะเดียวกันอาจแสดงความอาลัยอาวรณ์ของคนจีนจำนวนหนึ่งในยุคปัจจุบันที่โหยหาความงามอันพิสุทธิ์แบบเดิมๆ.   ฉากจบของเรื่องเมื่อเจ้าชายจากโหรวหรันกับช่างปักจากเว่ยมาพบกันใหม่ ณ อู่เฟิ่งกู่ เมืองหลวงของการทอผ้าและการปักไหม  ดวงอาทิตย์กำลังขึ้น ใบหน้าของทั้งสองเรืองรอง ยิ้มที่ริมฝีปาก สื่อความหวังในอนาคตของสองก๊กที่เป็นศัตรูกันมานาน  ทั้งยังแนะให้เข้าใจความหวังใหม่ๆของหนุ่มสาวผู้จะขับเคลื่อนประเทศต่อไป... 




Dans la lueur du matin calme, s’élève une promesse de la jeunesse qui, comme le phénix, renaît des cendres de leurs ancêstres, et apparaît, palpitant, l’espoir d’un monde meilleur.  



           มีข้อสังเกตอีกข้อที่อดกล่าวไม่ได้คือ นักแสดงฝ่ายหญิงเป็นคนจีนตัวเล็กมาก (ดูเหมือนจะเป็นนักกีฬากายกรรม และคงต้องหัดคุงฟูมา) กับตัวละครอื่นๆในเรื่องนี้ น่าจะมาจากจีนเขตต่างๆกัน ห่างไกลกันพอสมควร  เพราะหากพิจารณาจากการออกเสียงคำเดียวกัน ชื่อเดียวกัน สำนวนเดียวกัน ไม่เหมือนกันหรือตรงกันร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วแต่ว่าใครเป็นคนพูด.  นี่ตอกย้ำอีกครั้งว่า แผ่นดินจีนกว้างใหญ่หลากหลายชนเผ่าเพียงใด (และการรวมดินแดนทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวนั้นต้องมีมาตรการเด็ดขาดอย่างไร?!)   ดารานำแสดงฝ่ายชายเป็นดาราจีนไต้หวัน (ชื่อ  郭品超 - Guo Pin Chao  เขาใช้ชื่อในภาษาอังกฤษว่า Dylan Kuo)  น่าคิดว่า ทำไมคณะผู้สร้างจึงต้องไปจ้างนักแสดงจากไต้หวัน  หาใครไม่ได้แล้วหรือบนแผ่นดินใหญ่ที่มีชาวจีนกว่า 1,300 ล้านคน. ฮึม! หนุ่มหน้าอ่อนหน้าใสแบบนั้น!  และการที่ชาวจีนบนแผ่นดินใหญ่ลดตัวมาขอชาวจีนจากเกาะไต้หวันไปช่วยนั้น ..ไม่ใชเรื่องเล็กหรือเรื่องง่ายๆ เมื่อคำนึงถึงจุดยืนทางการเมืองของทั้งสองจีน.  มองจากอีกมุมหนึ่ง ทำให้สรุปได้ว่า คณะผู้สร้างหนังชุดนี้มีใจกว้างทีเดียว  ยอมรับสภาพการณ์ของสังคมโลกปัจจุบัน  ขยายวิสัยทัศน์ให้กว้างไกล พ้นข้อจำกัดของกรอบอุดมการณ์การเมือง เศรษฐกิจและสังคมจีนบนแผ่นดินใหญ่  ใช้การสร้างสรรค์หนังชุดนี้เป็นสะพานนำพวกเขาออกสู่โลกกว้างนอกพรมแดนจีนที่แม้จะใหญ่โตเพียงใด ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งส่วนเดียวของมนุษยชาติ เป็นแบบหนึ่งแบบเดียวของอารยธรรม  พวกเขารู้จักคุณค่าของสิ่งดีๆ ของศิลปะนอกพรมแดน  และนำมาสานเป็นความร่วมมือในแนวใหม่ (ไม่ว่าเบื้องหลังจะมีผลประโยชน์ด้านการธุรกิจการค้าปนอยู่ด้วยหรือไม่ก็ตาม).   การรู้จักคุณค่าของสิ่งอื่นๆนอกอารยธรรมของตนเอง คือการแผ่อาณาจักรสติปัญญาและจิตวิญญาณของตนเองออกไปในจักรวาล.  หากจีนเปิดตัวเองด้วยการใช้ศิลปะวัฒนธรรมเป็นสะพานเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ  ศักยภาพของจีนจะยิ่งไพศาลไร้เทียมทาน และเมื่อนั้นจีนจะเป็นศูนย์กลางโลกสมชื่อจริงๆ. 
            การพัฒนาหนังชุดนี้ตามเส้นทางสายไหมอย่างนี้เอง ที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องติดตามดูทั้งชุดสองครั้ง  เกือบสามครั้งแล้ว  จะบอกว่าหนังชุดนี้ดีเลิศ ก็พูดไม่ได้เต็มปาก เพราะข้อบกพร่องกับความไม่สมจริงหลายประการ เช่น  มู่หลันเป็นฮวาหู ดูยังไงก็ไม่เหมือนผู้ชาย  เสียงเป็นสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนข้ามเพศไม่ได้.
** ตัวละครไม่แก่กันเลย เพราะจากต้นเรื่อง (มู่หลันอายุ 18 - 20)  ถึงปลายเรื่อง เวลาผ่านไปอย่างน้อยสิบสองปีตามตำนานของมู่หลัน  ในเรื่องยังเจาะจงว่า สงครามทำให้ทั้งคู่เติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว (ตอน47)  แต่ในหนัง หน้าตาเหมือนเดิมตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบ. การศึกสงครามมิได้ส่งผลใดๆต่อรูปร่างหน้าตาของตัวละครตัวใดเลย.
** ฉากตายของตัวละคร ก่อนตาย มีการอธิบาย แจกแจงรายละเอียดว่า ใครเป็นใคร ใครคือคนร้าย ฯลฯ  เป็นบทพูดที่ยาวมาก เช่นกรณีของหมอหลัวก่อนฆ่าตัวตาย (ตอน18)  กรณีของแม่ทัพเซี่ย (ตอน37)  กรณีของทัวป๋าเซ่า(ตอน47)  น่าจะสร้างฉากอื่นเพื่อเปิดเผยข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการขับเคลื่อนเนื้อหาต่อไปให้ดีกว่านี้ได้.   
** พระเอกวิ่งกระโดดลอยตัวเข้าไปถึงชั้นสองของอาคารปักผ้าที่ลุกเป็นไฟ  เห็นท่ากระโดดเตะเสาไม้ที่พังลง ไฟเริ่มไหม้ผ้าปักไหม ในวินาทีวิกฤตแบบนั้น พระเอกบอกว่า เขาเป็นเจ้าชายโหรวหรัน กึ่งลากกึ่งประคองนางเอก แล้วดึงให้กระโดด ลอยตัวลงมาจากชั้นสอง. ในอากาศ โม่เจียงดึงตัวมู่หลันเข้าหาตัว (ถ่ายเป็น slow motion) เพื่อหาท่าปะทะพื้นที่จะเจ็บตัวน้อยที่สุด. โม่เจียงผู้ชำนาญการรบ ปราดเปรียว แต่มู่หลันก็รู้จักท่าต่างๆของคุงฟูไม่แพ้กัน ซึ่งผิดวิสัยของหญิงชาวบ้านที่เป็นช่างทอช่างปักตามที่เจาะจงไว้ในหนังชุดนี้. ในความเป็นจริงดาราหญิงคนจีนคนนี้ ถ้าไม่ใช่เป็นนักกายกรรมยิมนาสติก ก็ต้องเรียนศิลปะการป้องตัวแบบจีนเช่นคุงฟูมาแล้ว  ท่าที่เธอกระโดดขึ้นบนหลังม้าได้อย่างรวดเร็วครั้งแล้วครั้งเล่าในตอนที่ 1 ยืนยันดีที่สุด. อาจเป็นเพราะความคล่องตัวในท่าต่างๆ ทำให้เธอได้รับบทเป็นมู่หลัน.  ทั้งคู่ถลาลงจากชั้นสอง ไม่มีบาดแผลใดๆ เสื้อผ้าก็ไม่ติดไฟแม้แต่น้อยทั้งๆที่ยาวรุ่มร่าม.  ทั้งคู่ลุกเดินต่อไป  ปาฏิหาริย์ของวิชาคุงฟูหรือ?  การต้องสารภาพในวินาทีนั้นในกองไฟที่กำลังลุกโพลง เพื่อบอกว่าผ้าปักไม่สำคัญ เพราะโม่เจียงคือเจ้าชายโหรวหรัน  แม้ผ้าปักถูกไหม้เป็นเถ้า ก็จะไม่เป็นต้นเหตุของสงคราม.  และเมื่อกระโดดลงมากลิ้งไปบนพื้นสนาม ยังมีเวลาอธิบายกัน : ไม่ว่าข้าจะเป็นใคร ชื่ออะไร ข้าเป็นโม่เจียงคนที่เจ้ารู้จักเสมอ  มู่หลันถามประชดว่า เขายังมีความลับอีกกี่เรื่อง.  ข้าไม่ได้บอกเจ้าว่าเป็นเจ้าชาย เพียงเพราะข้ากลัวเจ้าจะมีอคติต่อข้า  ถ้าข้าบอกเจ้าตอนนี้ ก็เพื่อให้เจ้าหายวิตกกังวล ให้เจ้าวางใจ..  ข้าสามารถใช้ตำแหน่งเจ้าชายของข้า ช่วยสนับสนุนสันติภาพของทั้งสองฝ่าย.  นางเอกโกรธและเกลียดอย่างเห็นได้ชัด ที่รู้ว่าโม่เจียงเป็นเจ้าชายตัวหลุน  คิดว่าเกินกว่าเหตุจริงๆ  ดนตรีก็เป็นตะวันตกปนด้วย (บทบรรยายภาษาอังกฤษก็มีผิด)
ตอนที่ 18 > https://www.youtube.com/watch?v=fAEEbRPLD9A   นาทีที่ 20:27- 29:00)
จากฉากไฟไหม้ที่เป็นกลางคืน เดินต่อมาในฉากกลางวัน ฉากหมอหลัวขู่ฆ่าผู้ช่วย(และจะฆ่าตัวตาย)  วันเดียวกันหรือคนละวันหรือ?  แต่เหตุการณ์ต่อเนื่องกัน  เสื้อผ้ามู่หลันชุดเดิม ผมเกือบไม่ยุ่งเลย แม่ทัพบอกให้มู่หลันคอยสักครู่ข้างนอกบริเวณ  ตัวแม่ทัพเดินไปเผชิญหน้ากับหมอหลัว เมื่อมู่หลันเดินเข้าไปสมทบในฉากนี้  หน้าตาหมดจด เสื้อผ้าชุดเดิม ฉากเดียวกันนี้ถ่ายทำต่อไปในตอน 19 เป็นเวลากลางวันอยู่หน้าอาคารนวดและแช่มือ ส่วนหนึ่งของบริเวณที่จัดให้เป็นที่ปักผ้าไหมวิวาห์  อาคารปักผ้านั้นถูกไฟไหม้ดังที่เล่ามาข้างต้น. มู่หลันคุยกับจื่อซู(ช่างปักรุ่นน้อง ช่างคนนี้กับพ่อแม่รวมทั้งมู่หลัน สี่คนช่วยกันแอบปักผ้าไหมวิวาห์ผืนที่สองในบ้านของจื่อซู ปักกันจนเสร็จเหมือนกัน เป็นแผนของแม่ทัพเซี่ยกับมู่หลันเพื่อล่อคนร้าย  ไม่มีใครคิดว่าจะมีการปักผ้าไหมวิวาห์สองผืน คนดูก็เพิ่งรู้ตอนนั้น)  ฉากและเนื้อหาตรงนี้เหมือนตะเข็บหยาบๆที่ทำให้ระคายมือ. ไม่กี่นาทีต่อมา โม่เจียงเดินเข้าไปในฉากนี้ ในเสื้อผ้าชุดเดิมเมื่อช่วยมู่หลันจากไฟไหม้  เหมือนยังอยู่ในวันเดียวกัน แต่จากกลางคืนเป็นกลางวัน(หรือเช้าตรู่)  มู่หลันหน้าตึงๆ เมินๆ โกรธๆ  สารภาพว่าเธอก็มีความลับที่ไม่เคยบอกให้โม่เจียงรู้ นั่นคือการทำผ้าปักไหมสองชุด. บทสนทนาและการแสดงตรงนี้ไม่สะใจ โม่เจียงหน้าตาง่วงๆ เนือยๆ.
(ตอน19 https://www.youtube.com/watch?v=qh-CE7Cuei4  นาทีที่ 12:40-13:20) 
โม่เจียงย้ำกับเธออีกว่า  ผ้าปักไหมถูกไหม้ไปแล้ว หัวใจเจ้าคงแหลกสลาย  แต่ข้าขอรับประกันว่า ตราบใดที่เขามีชีวิตอยู่ เว่ยกับโหรวหรันจะมีสันติสุขกันแน่นอน. ข้าขอสาบาน.... เมื่อข้ามาถึงอู่เฟิ่งกู่  สิ่งที่เจ้าทำทั้งหมด การทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับผ้าปักไหม ทำให้ข้ามีความตระหนักรู้และเข้าใจเว่ยกั๋วดีขึ้น  เจ้าได้ช่วยให้ข้าเปลี่ยนวิธีมองทุกอย่างด้วยใจเปิดกว้าง  ไม่กี่นาทีต่อมา แม่ทัพเซี่ยกับทหารสามคนเดินเข้ามาในฉากที่สามคนยืนคุยกัน แม่ทัพเซี่ยเสียงตึงเครียด มาซักไซ้ไล่เลียงด้วยเสียงแข็งๆ.  มู่หลันพูดออกตัวให้ว่า ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เขาเป็นเพื่อนของเรา  แม่ทัพบอกว่า ระหว่างเพื่อนไม่ควรมีความลับหรือการโกหก.  การก้าวข้ามจากความโกรธรุนแรงของมู่หลันในฉากไฟไหม้ มาเป็นความรักความยินยอมระหว่างสองฉากนี้  ขัดๆกัน  และนี่เป็นฉากแรกที่ทั้งสองสวมกอดกัน  ใบหน้าของมู่หลันยิ้มชื่นใจ รับแล้วว่าเขาเป็นเจ้าชายตัวหลุน.
** ความรักของโม่เจียงกับมู่หลันที่ก่อตัวขึ้นที่อู่เฟิ่งกู่ กะคร่าวๆว่าภายในเวลาประมาณหนึ่งปี  แล้วจากกันไปสิบสองปี  มีแต่ความทรงจำที่ยืดและยึดความผูกพันกันไว้  สิบสองปีนานมากสำหรับการรอคอย โดยเฉพาะสำหรับคนรุ่นปัจจุบัน.  ว่าไปแล้วปัญหาอาจอยู่ที่ว่า  เดี๋ยวนี้หาคนที่มีค่าคู่ควรกับการรอคอยไม่ได้นั่นเอง. ถ้ามองในแง่ความผูกพัน บ่อยๆที่ความห่างกันทำให้ความรู้สึกค่อยๆเย็นลง. แต่คนที่ยังรักษาความรู้สึกไว้ได้มาก อาจจะเพราะความรู้สึกนั้นเป็นสิ่งที่สะท้อนสิ่งดีๆหรืออุดมการณ์ดีๆของตัวเขาเอง สิ่งที่เขาภูมิใจและเห็นว่ามีค่า  ความรู้สึกนั้นจึงติดทนนานในใจ. เพราะหากเขาเห็นสิ่งสวยงามในตัวคนอื่นอีกคนหนึ่ง นั่นเพราะคนนั้นทำให้เขาเห็นความงามและความดีแบบนั้นในใจของเขาเอง ที่ตรงกับจิตวิญญาณหรืออุดมการณ์ของเขาเอง.  ในบริบทจิตวิทยาแบบนี้ ความผูกพันจึงยืดต่อไปและยึดความตรึงใจในอดีตไว้ได้นานปีหรือตลอดไป  มิใช่ความรักความผูกพันกันทางกาย.
           เมื่อเอาหัวข้อเรื่องกิจกรรมและกระบวนการผ้าไหมและการปักผ้ามาเป็นแกนตั้งของหนังชุดนี้  มีสงครามและสันติภาพ เป็นแกนนอน  มีความเป็นมนุษย์ที่มีอารมณ์ความรู้สึกเป็นแกนลึก และมีบทบาทและอานุภาพของศิลปะวัฒนธรรม ที่เป็นดั่งโคมฉายส่องแสงของ “ความไม่รู้ตาย” จากเบื้องบน ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นหัวข้อที่ดีที่สุด ครอบคลุมหนังชุดนี้ทั้งชุดยิ่งกว่าและเหนือกว่าความรัก ความรักชาติและความกตัญญู.
           ดังคำกล่าวว่า Imperfection is humane. (และที่ชาวอาหรับพูดต่อว่า Only God is perfect.)  คิดเสียว่า ฉากไม่สมจริง การแสดงที่ไม่สมจริง ทั้งหมดเป็นเพียงการจุดประกายความคิด เปิดจินตนาการสร้างโลกความฝันให้เป็นไปได้ในใจเรา  หากพิจารณาเรื่องทั้งเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ เหมือนกำลังยืนชมพรมทอเรื่องราว(tapestry) ผืนใหญ่ที่ทอดยาวคลุมทั้งกำแพง  หรือภาพเฟรสโก้(frescos)ภายในวัดคริสต์นิกายออร์ธอด็อกส์ หรือภาพสลักบันทึกประวัติศาสตร์(frieze) เป็นแนวยาวใต้ชายคามหาวิหาร เราคงไม่ไปใส่ใจกับตำหนิ สีซีดๆในบางส่วน หรือรอยแตกรอยร้าวบนกำแพง. โดยรวมแล้ว ยังต้องสรุปว่าหนังชุดนี้มีสาระน่าติดตาม และเป็นชุดที่คงไม่หมือนกับภาพยนตร์จอใหญ่ ละคร งิ้ว อุปรากรเรื่องเดียวกันนี้ที่มีมากมายอย่างต่อเนื่องมานานแล้ว.  การที่หนังชุดนี้สร้างขึ้นสำหรับจอโทรทัศน์ ทำให้เข้าถึงผู้ชมจำนวนมากขึ้น และผู้สร้างยังมาราธอนถ่ายทำแบ่งแยกเนื้อเรื่องออกไปถึง 48 ตอน เท่ากับเปิดเวทีให้พัฒนาหัวข้อเล็กหัวข้อน้อยจากวิถีชีวิตคนจีนให้ละเอียดและหลากหลาย ซึ่งก็คือการเปิดโอกาสให้คิด นำเสนอ ตีความ แจกแจง วิเคราะห์ วิจารณ์ขนบธรรมเนียม ค่านิยม ปรัชญาขงจื้อ  ความรักแบบต่างๆในสังคมคนจีน ที่ในที่สุดเป็นภาพสะท้อนความถาวรของความเป็นมนุษย์.

จากบันทึกของโชติรส โกวิทวัฒนพงศ์  วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๘.

โปรดติตาม รักระหว่างรบ >


 


 

1 comment:

  1. สมัยเรียนปริญญาตรีที่ฝรั่งเศส มีวิชาวรรณคดีวิจารณ์ ที่ครูให้ไปวิเคราะห์เรื่องนั้น เรื่องนี้มาส่ง. เราก็มีการโคว้ตข้อความจากวรรณกรรมนั้น มาสนับสนุนมุมมองของเรา หรือมาเป็นข้อโต้แย้ง ฯลฯ ดูหนังชุดนี้ ไหนๆดูมาทั้งเรื่อง เลยเอามาวิเคราะห์สนุกๆแบบที่เคยทำสมัยเรียนหนังสือ เนื่องจากไม่มี text ให้โคว้ตได้ เลยต้องโคว้ตฉากต่างๆ ตอนนั้นตอนนี้ ทำแล้วสนุกดี เลยเอามาให้อ่านดูและถ้าสนใจก็คลิกไปดูฉากต่างๆที่เอามาอยู่ในบทความสามตอนจบของข้าพเจ้า. ได้ใส่ลิงค์ไปยังฉากเหล่านั้น ซึ่งจะคลิก ก็เปิดเป็นอีกหน้าออกไป เนื่องจากข้อมูลเป็นวีดีโอคลิปของ youtube ทำให้สามารถดูในแต่ละตอน เฉพาะฉากที่โคว้ตให้ดู ซึ่งเป็นฉากสั้นๆแต่สำคัญหรือสนุก. (ดูทั้งตอนแต่ละตอนยาว 45 นาที มีฉากมากมาย). ทุกคนคงรู้แล้วว่า เมื่อเปิด youtube เอาลูกศรไปที่เรื่องวีดีโอที่กำลังดู จะเห็นเส้นสีแดง บอกเวลาที่เรื่องกำลังดำเนินอยู่ เราสามารถเลื่อนเส้นเวลาสีแดงไปให้ใกล้กับเวลานาทีที่ข้าพเจ้าได้เจาะจงไว้ในเรื่องที่ข้าพเจ้าเขียน โดยเฉพาะใน 2- บนเส้นทางสายไหม และ 3- รักระหว่างรบ. ถ้าทำตามนี้ ก็เหมือนได้ติดตามเรื่องราวที่ข้าพเจ้าอ้างถึงและนำมาแจกแจงในบทความที่ข้าพเจ้าเขียน.


    ReplyDelete