Wednesday 10 September 2014

นรกและสวรรค์ในวรรณกรรมของดั้นเต้ - Hell and Heavens in Dante's La Divina Commedia


เนื้อหาที่นำมาลงในที่นี้ เป็นส่วนหนึ่งในเรื่อง ระบบจริยธรรมตะวันตก ตัวอย่างจากคริสต์ศิลป์ยุคกลางในยุโรป  ในหนังสือของโชติรส โกวิทวัฒนพงศ์  ชื่อ ยุโรปในมุมมองวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์  พิมพ์โดย ศูนย์ยุโรปศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2556. (หน้า 34- 47)

ดั๊นเต้กับมหากาพย์ดีวีนา กมเม่เดีย
              รายการบาปหนาเจ็ดชนิดนี้ที่สันตะปาปาเกรเกอรีที่หนึ่ง (Gregory I) ได้กำหนดไว้ เป็นรายการที่นักเขียนเช่นดั๊นเต้ อ้างถึงในมหากาพย์ดีวีนา กมเม่เดีย(Divina Commedia แต่งในราวปี1307/1312?-1321) มหากาพย์เล่มนี้ เป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญที่สุดสำหรับโลกตะวันตกตั้งแต่ยุคเรอแนสซ็องส์เป็นต้นมา  ดั๊นเต้ ตั้งชื่อไว้ว่า Commedia  ต่อมา บ็อกกั๊กชีโย (Boccaccio, 1313-1375 นักเขียนอิตาเลียน) ผู้อ่านและวิจารณ์หนังสือเล่มนี้ เห็นสมควรให้เติมคำ divina เข้าไปข้างหน้าเพื่อเน้นความเลอเลิศดังสวรรค์บันดาลของกวีนิพนธ์ของดั๊นเต้  ซึ่งก็เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป จึงกลายเป็น ดีวีนา กมเม่เดีย  หรือ มหากาพย์ไตรภูมิของดั๊นเต้  [1]   ในที่นี้เราทำได้เพียงเสนอเนื้อหาย่อๆของวรรณกรรมชิ้นนี้ ด้วยจุดประสงค์เดียวคือ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับบาปประเภทต่างๆ ความทุกข์ทรมานของคนบาปหลังความตายในนรก  และรางวัลสำหรับคนดีในสวรรค์ 
              มหากาพย์เรื่องนี้เล่าการเดินทางผจญภัยเชิงสติปัญญาและจิตวิญญาณของกวีที่เป็นตัวแทนของมนุษยชาติ  ถ่ายทอดผ่านการเดินทางข้ามโลกสามโลกหรือสามภูมิที่อยู่นอกเหนือโลกที่เราอยู่  ตัวเอกในกวีนิพนธ์ชื่อดั๊นเต้ เหมือนกัน เป็นผู้เดินทางผ่านพิภพ (เขามีอายุ ๓๕ปี ครึ่งหนึ่งของชีวิตหนึ่งตามที่กำหนดในคัมภีร์) เขาเดินหลงอยู่ในป่ามืดแห่งบาป   มีเหตุผล ในร่างของมหากวีเวอร์จิล (Virgile หรือ Publius Vergilius Maroในภาษาอิตาเลียน มีชีวิตอยู่ในราวปี 70-19 ก่อนคริสตกาล)[2] มานำทางเขา  มหากวีเวอร์จิล เป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของสติปัญญาอันชาญฉลาดและสุขุม  เมื่อเวอร์จิล ตายเขาตกไปอยู่ในนรกชั้นที่หนึ่ง เพราะเขาเกิดก่อนคริสตกาลและไม่มีโอกาสได้เห็นพระเยซูและไม่ได้เข้าพิธีศีลจุ่ม เหมือนวิญญาณอีกหลายๆคนในนั้นที่เคยเป็นคนดีแต่ต้องคร่ำครวญโหยหวนด้วยความปรารถนาอยากเห็นพระเยซูคริสต์
ภาพ 1 แผนผังของไตรภูมิในทัศนคติของดั๊นเต้ บนพื้นฐานความรู้ด้านภูมิศาสตร์และดาราศาสตร์ของยุคศตวรรษที่ 14 ที่ดวงดาวต่างๆหมุนรอบโลก ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ก็เช่นกัน กวีนิพนธ์ของดั๊นเต้ จึงให้ทั้งแผนที่ของจิตวิญญาณระดับต่างๆและเข็มทิศแห่งจริยธรรมที่ผู้อ่านต้องเลือกเองว่าจะเดินไปบนเส้นทางใด  ภาพจาก http://www.evidenzaliena.wordpress.com  นำมากำกับข้อความเพื่อให้เห็นชัดเจนและเข้าใจง่ายขึ้น
เวอร์จิลพาดั๊นเต้ ลงไปในนรกขุมต่างๆ  คนตายทุกคนต้องไปตามเส้นทางนี้  เป็นทางเดียวที่จะไปถึงสวรรค์ได้  นั่นคือต้องผ่านนรกทั้งเก้าชั้น (Inferno)  ดั๊นเต้ อธิบายว่า ใต้พื้นเมืองเยรูซาเล็ม(ตำแหน่งAในภาพ 1) พื้นที่ตั้งแต่ปากเหวลงไปจนถึงจุดใจกลางโลกคือที่ตั้งของนรก(ตำแหน่งBในภาพ 1)  ภูมิประเทศเป็นหุบเหวลึกลงๆและแคบลงในรูปแบบของกรวยหงาย  ดั๊นเต้ อธิบายว่านรกประกอบด้วยวงแหวนเก้าชั้นซ้อนๆกันลงสู่จุดใจกลางโลกบนเส้นศูนย์สูตรที่แบ่งครึ่งโลก ตรงจุดลึกที่สุดของโลกภาคพื้นดินเป็นที่อยู่ของลูซีเฟอร์หรือซาตาน  ดั๊นเต้ และเวอร์จิลผ่านเข้าไปในวงแหวนนรกแต่ละชั้นที่ที่คนบาปประเภทต่างๆถูกส่งลงไป ในแต่ละขุมคนบาปถูกทรมานแบบต่างๆที่สะท้อนให้เห็นว่าเป็นผลจากการกระทำบาปในชีวิต  ดั๊นเต้ ได้ให้รายละเอียดของบาปชนิดต่างๆ  เขาได้แจกแจงแบ่งแยกบาปหนักบางประเภทปลีกย่อยลงไปอีก เช่น บาปของผู้กระทำความรุนแรงแบ่งออกเป็นสามชนิด(คือกระทำความรุนแรงต่อเพื่อนบ้าน ต่อตนเองเช่นฆ่าตัวตายและต่อพระเจ้า) บาปของการหลอกลวงแบ่งย่อยลงไปถึงสิบชนิด และบาปของการทรยศแบ่งเป็นสี่ชนิดเป็นต้น สภาพทั่วไปในนรกมืดทึม กลิ่นเหม็นคลุ้ง เสียงร้องกรี๊ดแหลมแสบแก้วหูของคนบาปที่ถูกทรมาน  หลายครั้งที่ดั๊นเต้ เป็นลมสลบไปเพราะความรู้สึกโศกสลดรุนแรงจากการเห็นและการได้สนทนากับวิญญาณบาปทั้งหลายในนรก  ดั๊นเต้ และเวอร์จิลผ่านลงไปจนถึงจุดที่อยู่ของซาตานและเผชิญหน้ากับซาตาน (ดูรายละเอียดนรกในภาพ2)ละหนีออกจากนรก(ตำแหน่งCในภาพ1)
 
วงแหวนนรกเก้าชั้น บาปอะไรไปในขุมนรกใด
ภาพจาก http://www.blog.edidablog.it   
ผู้เขียนนำมากำกับเพื่อเจาะจงชี้แจงให้ชัดเจน
ในภาพ 2 แสดงแผนภูมิที่ตั้งและรายละเอียดของนรกชั้นต่างๆ ที่วิญญาณคนบาปถูกส่งลงไปในวงแหวนนรกที่สมน้ำสมเนื้อกับบาปที่เคยกระทำในชีวิต  ตำแหน่ง A ในภาพ 2 คือที่ตั้งของเมืองเยรูซาเล็ม ตรงกับตำแหน่ง A ในภาพ 1 ข้างต้น ใต้พื้นเมืองเยรูซาเล็มเป็นปากเหวมหึมา ที่ลึกลงๆ  ณตำแหน่ง B ในภาพ 2 เป็นพื้นที่เชื่อมระหว่างปากทางลงนรกกับนรกชั้นต่างๆ(เรียกว่า Ante-Inferno หรือ Vestibulo เหมือนห้องโถงใหญ่) ทางซ้ายมือเห็นถ้ำมืดสูงเป็นรูปสามเหลี่ยมคือประตูทางลงสู่นรก  เมื่อลงไปใต้พื้น ดั๊นเต้ พบกับวิญญาณของคนจำนวนมาก  เป็นวิญญาณของพวกที่เฉยเมยไม่เข้าร่วมศาสนาใดองค์การใด ไม่เคยนับถือพระเจ้าและก็ไม่เคยต่อต้านซาตาน ตายแล้วถูกส่งไปรวมกันที่นั่น เร่ร่อนไปมาในนั้นตลอดไป ถูกฝูงแมลงวันรุมไต่ตอม ถูกฝูงผึ้งต่อย ถูกบดขยี้ลงอยู่กับพื้นที่มีหนอนยั้วเยี้ยแน่นเต็มไปทั่วที่คอยดูดเลือดและน้ำตาจากวิญญาณเหล่านั้น  ลึกลงจากบริเวณห้องโถงดังกล่าว (ณตำแหน่ง C ในภาพ 2) มีแม่น้ำ อาเก-รนเต(Acheronte)  ริมฝั่งน้ำวิญญาณจำนวนมากยืนรอคอยเรือข้ามฟาก  การนเต้(Caronte) ผู้พิทักษ์นรกคนแรกพายเรือมารับ  ดั๊นเต้ และเวอร์จิลลงเรือข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ  ที่เป็นที่ตั้งของวงแหวนนรกที่1 เรียกว่านรกลิมโบ(Limbo) มีปราสาทใหญ่น่าเกรงขามตั้งอยู่ นรกขุมนี้เป็นที่รวมวิญญาณของผู้ที่เกิดก่อนคริสตกาลจึงไม่ได้ล้างบาปกำเนิดและไม่เคยรับศีลจุ่ม  เวอร์จิลเองก็อยู่ที่นั่น วิญญาณที่นั่นเคยเป็นผู้มีคุณงามความดี เคยทำงานใหญ่เพื่อมนุษยชาติมาแล้ว จึงได้ไปอยู่ที่นั่น วิญญาณทั้งหลายทุกข์ระทมโหยหาเพราะไม่มีโอกาสชื่นชมบารมีของพระเจ้า 
เมื่อลงไปถึงวงแหวนนรกชั้นที่ 2 ต้องพบกับมีนอส(Minos ผู้พิทักษ์นรกคนที่สอง) ผู้ชั่งบาปและกรรมชั่วที่เคยทำมา แล้วส่งลงไปในนรกขุมต่างๆ  ส่วนวิญญาณที่อยู่ในขุมที่สองนี้ เป็นผู้ทำบาปด้านกามตัณหาแบบต่างๆ  พวกนี้ถูกลมพายุหมุนหอบไป ถูกปั่นหมุนไปมาแล้วถูกเหวี่ยงไปกระทบกำแพงนรกแล้วถูกหอบ ถูกเหวี่ยงกลับไปกลับมาเช่นนี้ไม่หยุด ในฐานที่ไม่สามารถควบคุมกิเลสตัณหาของตนเอง 
วงแหวนนรกชั้นที่ 3  เป็นที่อยู่ของพวกตะกละ ที่นี่มีทั้งฝน หิมะและลูกเห็บตกกระหน่ำทั้งวันทั้งคืนท่วมนองพื้นที่เป็นโคลนตมเหม็นคลุ้ง  วิญญาณต้องวิ่งไปรอบๆเหวลึกเพื่อหนีเล็บแหลมคมของปีศาจสามหัวเซร์เบรุส(Cerberus) ผู้พิทักษ์นรกชั้นนี้ที่คอยกวดตะครุบวิญญาณไปกัดแทะ
วงแหวนนรกชั้นที่ 4  เป็นที่รวมวิญญาณบาปของพวกตระหนี่และพวกสุรุ่ยสุร่าย (ดั๊นเต้ เน้นเจาะจงกลุ่มสันตะปาปา นักบวชและคาร์ดินัลทั้งหลาย ที่บริหารจัดการทรัพย์สินขององค์การศาสนาอย่างผิดๆเพราะความตระหนี่หรือเพราะความสุรุ่ยสุร่าย)  วิญญาณในนรกชั้นนี้ถูกแบ่งเป็นสองกลุ่ม แต่ละกลุ่มต้องเข็นก้อนหินขนาดมหึมาเข้าหากัน บดขยี้กันเองไม่หยุดหย่อน  ต่างด่าทอกันและกันเสียงแซดไปทั้งนรก 
วงแหวนนรกชั้นที่ 5  เป็นที่ตั้งของแม่น้ำสติ๊ค(Styx หรือ Stigeในภาษาอิตาเลียน) รวมวิญญาณบาปของความโกรธ พวกโมโหร้าย กับบาปของความเกียจคร้าน เฉยเมยและซึมเศร้า วิญญาณถูกกดจมในแม่น้ำสติ๊ค ต่างตะเกียกตะกาย ต่อสู้กัน กัดกันอย่างเหี้ยมโหด ส่วนพวกเกียจคร้านจมอยู่ในกองโคลนเหม็นเน่า ลุกไม่ขึ้นและลุกไม่ได้ไปชั่วนาตาปี 
วงแหวนนรกชั้นที่ 6  เป็นที่รวมวิญญาณของผู้เคยคลุ้มคลั่งในลัทธินอกรีตอื่นๆ  ถูกเผาไหม้จนเป็นจุณ สิ้นซากทั้งร่างและวิญญาณ แต่การทรมานยังไม่หมดสิ้น เพราะขี้เถ้าของคนบาปกลับรวมตัวกันใหม่แล้วถูกเผาอีกจนเป็นจุณแล้วรวมตัวขึ้นใหม่เป็นเช่นนี้ไปชั่วกาลนาน
จากนรกขุมที่หกไปยังวงแหวนนรกชั้นที่ 7  ดั๊นเต้ และเวอร์จิลต้องปีนไต่สันเขาลาดชันลงไปไกลกว่าจะถึง (ตำแหน่ง 7) เป็นที่รวมวิญญาณของผู้เคยกระทำความรุนแรง เหล่าวิญญาณอยู่ในแม่น้ำเลือดที่เดือดพล่านตลอดเวลา  นรกขุมนี้มีสามหลุมใหญ่ หลุมแรกสำหรับผู้กระทำความรุนแรงต่อเพื่อนบ้านเช่นฆาตรกร โจรเป็นต้น วิญญาณถูกปีศาจเซ็นทอร์(Centaur ครึ่งม้าครึ่งคน) ยิงด้วยธนูเจ็บปวด แล้วถูกนำไปต้มในหนองน้ำของเลือดที่เดือดพล่าน  หลุมที่สองเป็นป่าใหญ่มืดแปดด้าน มีต้นไม้ใบไม้สีดำ กิ่งหงิกๆงอๆแปลกๆและเป็นพิษ  สำหรับผู้เคยทำบาปรุนแรงต่อตนเองเช่นฆ่าตัวตาย ผลาญเงินทองมรดกของตนเป็นต้น ในนรกหลุมนี้มีฮาร์ปีส์(harpies ร่างและอุ้งเท้าเป็นนก หัวเป็นผู้หญิง) และฝูงสุนัขตัวเมียสีดำสนิทเฝ้าดูแลอยู่  วิญญาณที่ถูกส่งมาที่นี่ถูกแปลงร่างให้เป็นกิ่งไม้หนึ่งกิ่งที่เจริญผลิใบขึ้นเป็นต้นไม้ในป่านรกขุมนั้น  ทันทีที่มีใบผลิออกมา เหล่าฮาร์ปีส์รุมกันเข้าทึ้งกินใบอย่างตะกรุมตะกราม สร้างความเจ็บปวดไม่สิ้นสุดแก่วิญญาณต้นไม้เหล่านั้น วิญญาณใดที่หลุดจากต้นไม้ก็จะถูกฝูงสุนัขไล่กวดถูกกัดถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย  วิญญาณเหล่านี้จักไม่มีวันคืนกลับสู่ร่างเดิมแม้ในวันพิพากษาสุดท้าย ในฐานที่ได้ทำลายชีวิตตนเองและจะไปปรากฏเบื้องหน้าพระเจ้าในร่างล่อนจ้อนเหมือนหนอนและต้องลากศพของตัวเองไปแขวนไว้บนกิ่งหนามแหลมของผู้ต้องโทษ  และหลุมที่สาม เป็นทะเลทรายสุดสายตา สำหรับผู้กระทำรุนแรงต่อพระเจ้า ต่อธรรมชาติ(การมีรักร่วมเพศเดียวกัน-sodomites) และต่อศิลปะ รวมทั้งผู้ที่หยาบโลนดูถูกดูหมิ่นศาสนา ผู้ที่พูดเสียดสีพระเจ้า และผู้ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยแพง(!)  บนพื้นทะเลทรายนั้นวิญญาณนอนบ้าง นั่งชันเข้า หรือเดินไปไม่รู้หยุด ทั้งหมดถูกห่าฝนที่ตกเป็นเปลวไฟที่ไม่เคยดับ เผ่าไหม้มิหยุดหย่อน 
จากวงแหวนนรกขุมที่เจ็ดต้องไต่ลงในหุบเหวลาดชันอีก ดั๊นเต้ และเวอร์จิลต้องขี่หลังปีศาจลงไปถึงวงแหวนนรกชั้นที่8  เป็นที่รวมวิญญาณของคนหลอกลวง คดโกง ทุจริต ขี้ขโมย ฉ้อราษฎร์บังหลวง ประจบสอพลอ โกหกพกลม แม่มดหมอผี ผู้ขายความยุติธรรม ก่อความวุ่นวายแตกแยกในสังคมฯลฯ  นรกขุมนี้แบ่งออกเป็นหลุม10 ชั้นลึกลงไปสู่ใจกลางโลก วิญญาณทั้งหลายถูกรุมทำร้ายเฆี่ยนโบยทนทุกข์ทรมานแบบต่างๆไม่มีวีนสิ้นสุด เช่นพวกประจบสอพลอถูกกดจมในหลุมอุจจาระ  พวกแม่มดหมอผีมีหัวหันกลับไปด้านหลังของตัวและถูกบังคับให้เดินถอยหลังชั่วฟ้าดินสลาย  พวกขโมยร่างเปล่าเปลือยถูกบังคับให้วิ่งไปในความมืดชั่วกาลนาน หนีฝูงงูที่เลื้อยตามไม่ลดละ พวกที่ก่อความแตกแยก ถูกคว้านตับไตไส้พุงออก แผลเหวะหวะ เมื่อแผลหาย จะถูกปีศาจตนหนึ่งคว้านท้องใหม่ เจ็บแล้วเจ็บเล่าไปชั่วกัลปาวสานเป็นต้น  ตรงฐานของนรกชั้นที่แปดนี้เป็นบ่อใหญ่ที่อยู่ของพวกยักษ์  ออกจากวงแหวนนรกขุมที่แปดจึงต้องเผชิญกับฝูงยักษ์
แต่ดั๊นเต้ และเวอร์จิลก็เอาตัวรอดไปถึงวงแหวนนรกชั้นที่ 9 ที่เป็นนรกขุมสุดท้าย ที่รวมวิญญาณของพวกทรยศสี่ประเภท ทรยศต่อญาติพี่น้องหนึ่ง ต่อชาติหนึ่ง ต่อเจ้าของบ้านผู้ให้ที่พักที่กินหรือต่อแขกผู้มาอยู่ใต้ชายคาบ้านตนหนึ่ง และต่อพระเจ้าอีกหนึ่ง  วิญญาณทั้งหมดถูกฝังจมในทะเลน้ำแข็งที่ใสเหมือนแก้วเจียระไน มิอาจกระดุกกระดิกตัว หนาวยะเยือกกระทั่งลมหายใจหรือน้ำตากลายเป็นน้ำแข็งทันทีและปิดทับบนหน้า  บ้างถูกกดฝังลงในน้ำแข็งจนถึงคอ บ้างถูกฝังด้วยการเอาหัวทิ่มลงไปจนถึงน่อง  ในนรกขุมที่เก้านี้ณจุดที่ลึกที่สุดเป็นที่อยู่ของลูซีเฟอร์(ซาตาน) (ตำแหน่ง D) เป็นจุดใจกลางโลกบนเส้นศูนย์สูตร  ตามความรู้ในยุคนั้น แผ่นดินโลกสิ้นสุดลงณเส้นศูนย์สูตรนั้น โลกอีกครึ่งหนึ่งเป็นผืนน้ำอันไพศาล 
 
        ดั๊นเต้กับเวอร์จิลหนีออกจากนรกขุมที่ 9 ด้วยการไต่ไปบนหลังตลอดร่างของซาตาน ผ่านจุดใจกลางโลก ผ่านครึ่งโลกที่เป็นน่านน้ำไปขึ้นฝั่งบนเกาะกลางมหาสมุทร เป็นฝั่งเชิงเนินเขาสูงแห่งแดนปูร์กาโตรีโย (Purgatorio ที่ชำระล้างคนบาปให้กลับบริสุทธิ์ ณตำแหน่งDในภาพ1) เป็นดินแดนที่วิญญาณคนตายผู้เคยทำบาปชนิดต่างๆไปคอยที่นั่น เมื่อดั๊นเต้ ไปถึงเป็นเช้าวันอีสเตอร์และได้เห็นกลุ่มดาวสี่ดวงบนท้องฟ้า   แดนชำระฯนี้เป็นภูเขาสูงแบ่งเป็นเจ็ดชั้นเจ็ดระดับ วนขึ้นในแบบของกรวยคว่ำ วิญญาณแต่ละคนถูกส่งไปอยู่ในชั้นที่เหมาะกับบาปที่เคยทำ(ดูรายละเอียดในภาพ3) และหลังจากรู้สำนึกผิดก็ยังต้องวนเวียนอยู่ในนั้นอีกร้อยๆพันๆปี กว่าจะมีโอกาสรับการชำระล้างตัวให้บริสุทธิ์ แล้วจึงอาจปีนภูเขาแห่งแดนชำระฯวนขึ้นไปจนถึงชั้นที่เจ็ดและออกไปสู่แดนสวรรค์บนดิน(Paradiso Terrestreตำแหน่งEภาพ 1) ดั๊นเต้ ได้ยินเสียงร้องเพลงสรรเสริญคุณธรรมที่ตรงข้ามกับบาปที่วิญญาณในแต่ละระดับได้เคยทำไว้  วิญญาณที่รู้สำนึกแล้วและท่องสรรเสริญคุณธรรมที่พวกเขาไม่เคยทำในชีวิต  เหมือนตอกย้ำความเสียใจและสำนึกผิด   ณจุดนั้น ความฉลาดสุขุมของคนหมดความหมายลง  เวอร์จิลจึงทำหน้าที่ต่อไม่ได้ เขาเลือนลับหายไป  สติปัญญาจึงยังไม่เพียงพอที่จะช่วยดั๊นเต้ ไปสู่สวรรค์หรือไปชมราศีพระเจ้าได้  ต้องเป็นความศรัทธาเท่านั้น  ตอนนั้นเองที่ เบียทริซ(Beatrice)[3] มาปรากฏตัว นางเป็นสัญลักษณ์ของศรัทธาที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้า  ความศรัทธาเท่านั้นที่จะช่วยให้มนุษย์ไปถึงพระเจ้าได้  เบียทริซเข้ามาเป็นผู้นำทางให้ดั๊นเต้  และพาเขาหลุดจากแดนชำระฯไปสู่แสงสว่างในสวรรค์ชั้นฟ้า(Paradiso)
            สวรรค์แบ่งออกเป็นเก้าชั้น(ตำแหน่ง 1-9 ในภาพ1) เป็นท้องฟ้าเก้าระดับที่สูงใหญ่กว้างออกไปเรื่อยๆและเรียงกันเป็นชั้นๆเหมือนวงแหวนท้องฟ้า  ตรงข้ามกับนรก สวรรค์คือแสงสว่าง กลิ่นหอมกรุ่นของดอกไม้อบอวลไปทั่ว เสียงดนตรีและเสียงเพลงเสนาะหูเพลิดเพลินใจ  วิญญาณคนดีผู้ได้รับพร(the blessed) ที่อยู่ในสวรรค์ปรากฏให้ดั๊นเต้ เห็นเป็นแสงสว่าง และความกระจ่างพร่างพรายตาของแสงคือการแสดงออกของความปลื้มปิติของดวงวิญญาณ   วงแหวนท้องฟ้าแต่ละวงเป็นที่ตั้งของดวงดาวสำคัญดวงหนึ่ง ที่เรียงกันตามลำดับดังจะกล่าวต่อไป วงแหวนที่ตั้งของดวงดาวยังเป็นที่สถิตของ "เทวทูต" [4] ที่ก็แบ่งเป็นหลายกลุ่มตามหน้าที่ที่ได้รับจากพระผู้เป็นเจ้า จึงนำมาแทรกไว้ด้วยกัน ดังนี้  
1.ดวงจันทร์ วงแหวนชั้นนี้ มีโซนท้องฟ้าเป็นไฟ ที่เทียบได้กับความร้อนแรงของวิญญาณสำนึกของคนที่กำลังมุ่งสู่พระเจ้า เป็นที่สถิตของเหล่าเทวทูตกลุ่มAngels ผู้ทำหน้าที่เฉาะกิจตามที่พระเจ้าบัญชา
2. ดาวพุธ วงแหวนชั้นนี้เป็นที่สถิตของเหล่าเทวทูตArchangels ผู้ทำหน้าที่นำข่าวหรือเจตนารมณ์ของพระเจ้าไปเปิดเผยให้คนรู้และเข้าใจ เป็นเทวทูตที่หลายคนคุ้นเคย มีสามองค์ชื่อ Raphael, Gabriel และMichael.
3.ดาววีนัส(ดาวศุกร์) เป็นที่สถิตของเหล่าเทวทูต Principalities ผู้สอนให้คนรู้จักเคารพนับถือผู้ที่อยู่เหนือกว่าเรา ผู้ที่ควรนับถือ
4.ดวงอาทิตย์(ยุคนั้นเชื่อว่าดวงอาทิตย์เป็นดาวดวงหนึ่งที่หมุนรอบโลก) เป็นวงแหวนที่สถิตของเหล่าเทวทูต Powers ผู้ที่ขับไล่อำนาจของลมและความชั่วร้าย 
5.ดาวอังคาร วงแหวนชั้นนี้เป็นที่สถิตของเทวทูต Virtues ผู้แสดงปาฏิหาริย์ต่างๆตามพระบัญชาของพระเจ้า
6.ดาวพฤหัส วงแหวนนี้เป็นที่สถิตของเทวทูตDominations ผู้สอนให้รู้จักปกครองคนที่อยู่ใต้อำนาจเรา สอนให้เป็นนายที่ดีเป็นต้น 
7.ดาวเสาร์ วงแหวนชั้นนี้เป็นที่สถิตของเทวทูตThrones เป็นผู้ทำหน้าที่ตัดสินและพิพากษาในนามของพระเจ้า
8.ในวงแหวนท้องฟ้าที่แปดเป็นที่ตั้งของดวงดาวอื่นๆที่นิ่งอยู่ณตำแหน่งหนึ่ง เต็มท้องฟ้า(Cielo Stellato) เป็นที่สถิตของเทวทูต Cherubim ผู้ปกป้อง ติดตามเอาใจใส่ เฝ้าและดูแลสวรรค์ ต่อมาเทวทูตกลุ่มนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของผู้แต่งคัมภีร์สี่คน ตามที่จอห์นเล่าไว้ในอโปกาลิปส์
และ 9.พรีโม โม้บิเล(Primo Mobile) เป็นวงแหวนท้องฟ้าชั้นที่สะอาดโปร่งใสไร้อณูหรือเมฆหมอกใด เหมือนแก้วผลึกเนื้อดี  เป็นวงแหวนท้องฟ้าที่เคลื่อนไหวด้วยพลังความรักของพระเจ้า และโดยปริยายเท่ากับสวรรค์ชั้นนี้ควบคุมการหมุนของสวรรค์ชั้นล่างๆลงไป  เวลา เริ่มต้นในสวรรค์ชั้นนี้  เป็นวงแหวนที่สถิตของเทวทูต Seraphim ผู้อยู่ล้อมรอบบัลลังก์ของพระเจ้า เป็นเทวทูตนักดนตรีและนักร้อง ร้องเพลงสรรเสริญด้วยเสียงดังกังวานไปทั่วจักรวาล ภาพลักษณ์ของเทวทูตกลุ่มนี้ดูจะเป็นที่คุ้นเคยสายตาเรามากที่สุด มีปีกสามคู่ มักเห็นรอบๆพระเจ้าในจิตรกรรมศาสนาทั้งหลาย มีใบหน้าเด็กติดปีกสามคู่
           เมื่อดั๊นเต้ และเบียทริซไปถึงสวรรค์ชั้นที่เก้า ดั๊นเต้ เห็นจุดสว่างไสวที่มีวงแหวนแสงสว่างเก้าวงล้อมรอบ จุดสว่างนั้นคือพระเจ้าและวงแหวนแสงเก้าวงที่ใกล้พระเจ้านั้นคือพลังจากพระองค์ ในแต่ละวงแหวนแสงนั้นเป็นที่สถิตของเหล่าทวยเทพดังกล่าวมาข้างต้น  การแบ่งวงแหวนท้องฟ้านี้เป็นไปตามทฤษฎีดาราศาสตร์ของปโตเลมี(Ptolemaios ในภาษากรีก มีชีวิตในราวปี 90-168 ก่อนคริสตกาล เป็นนักดาราศาสตร์ นักคณิตศาสตร์และนักภูมิศาสตร์)[5]
            ในท้องฟ้าแต่ละชั้น เป็นที่รวมของผู้ไม่เคยทำบาปและทำแต่กรรมดี  ผู้ที่ยึดหลักคุณธรรม(ความสุขุมรอบคอบ-Prudence, ความยุติธรรม-Justice, การรู้จักควบคุมตน-Temperance, และความกล้าหาญที่รู้จักอดทาและอดกลั้น-Fortitude) ตั้งแต่สองสามคุณธรรม และ/หรือยึดหลักคุณธรรมศาสนา(ศรัทธาในพระเจ้า-Faith, ความหวังในพระเจ้า-Hope, และความรักในพระเจ้า-Charity) ผู้ที่สั่งสมคุณธรรมไว้มากเพียงใดหรือได้ครบทั้งเจ็ดประการ ย่อมขึ้นไปอยู่ในสวรรค์ชั้นสูงๆขึ้นไป  เมื่อดั๊นเต้ไปถึงสวรรค์ชั้นที่แปด เหล่าอัครสาวก(ปีเตอร์ เจมส์ และจอห์น)ได้ตั้งซักถามดั๊นเต้ เพื่อทดสอบความเข้าใจของเขา  ดั๊นเต้ ตอบได้ถูกใจทุกคำถาม  เมื่อผ่านจากท้องฟ้าชั้นที่เก้า ดั๊นเต้ ได้เห็นวงแหวนสวรรค์ที่อยู่ของเหล่าเทวทูตทั้งหลายที่ล้อมรอบสวรรค์  ถึงบริเวณสวรรค์เอ็มปีเรโอ(Empireo ณตำแหน่ง10ในภาพ 1) เป็นดินแดนแห่งความสงบและแสงสว่าง  ดั๊นเต้ สุดปลาบปลื้มและตื้นตันที่ได้เห็นแสงสว่างอันบรรเจิดที่มองดูคล้ายดอกกุหลาบสีขาวดอกมหึมา (Rosa dei Beati) และที่อาจเทียบได้กับหน้าตางกระจกสีวงกลมเหมือนดอกกุหลาบบานดอกใหญ่(rose windows)ที่ประดับโบสถ์กอติคด้านทิศเหนือและทิศใต้ของโบสถ์น็อตเตรอดามแห่งปารีส  บนสวรรค์ชั้นเอ็มปีเรโอนี้ ดั๊นเต้ ได้เห็นวิญญาณทั้งหลายที่ได้รับพรจากพระเจ้าปรากฏตัวในร่างของคน(จนถึงสวรรค์ชั้นนั้น วิญญาณคนดีทั้งหลายปรากฏเป็นแสงสว่าง ส่วนในนรกและแดนชำระฯนั้น ดั๊นเต้ ได้เห็นแค่เงาดำๆ)   ตรงกลางของดอกกุหลาบสวรรค์นี้เป็นที่ประทับของพระแม่มารีและมีวิญญาณของเหล่าคนดีทั้งหญิงและชายทั้งจากคัมภีร์เก่าและใหม่ รวมทั้งอัครทูตจอห์นและนักบุญต่างๆนั่งห้อมล้อมลดหลั่นเป็นชั้นๆเหมือนกลีบดอกกุหลาบที่บานแทรกซ้อนกันอย่างสวยงาม  ที่นั่นเบียทริซผละจากดั๊นเต้ ไปนั่งณตำแหน่งหนึ่งในดอกกุหลาบสวรรค์นั้นและนักบุญแบร์นาร์ดเดอแกลร์โวส์ (Bernard de Clairvaux, 1091-1153 นักบวชชาวฝรั่งเศส บุคคลสำคัญที่สุดคนหนึ่งในคริสตจักรยุคนั้น)[6] มาปรากฏตัวเพื่อนำทางดั๊นเต้ สู่อาณาจักรของพระเจ้า  นักบุญแบร์นาร์ดสวดวิงวอนขอให้พระแม่มารีช่วยดั๊นเต้ ให้ได้ เห็น พระคริสต์และให้พลังสติปัญญาแก่ดั๊นเต้ สำหรับไปเขียนเล่าการเดินทางผ่านไตรภูมิของเขาเมื่อกลับคืนไปสู่โลก  ในที่สุดดั๊นเต้ ได้เห็นแสงสว่างของพระเจ้า-ใจกลางของจักรวาล(ตำแหน่ง11ในภาพ 1) ได้เห็นและ รู้แจ้ง ในความเป็นตรีเอกานุภาพของพระองค์ผู้มี ความรักที่ขับเคลื่อนดวงอาทิตย์และดวงดาวได้ทั้งหมด (Paradiso: Canto XXXIII)
 
ภาพ 3 แสดงรายละเอียดระดับชั้นบนภูเขาแห่งแดนชำระล้างบาปหรือปูร์กาโตรีโอ (Purgatorio)  ซึ่งเป็นเกาะลอยอยู่กลางผืนน้ำอันไพศาล  ตรงกับตำแหน่ง D ในภาพ  ตรงฐานเห็นประตูทางเข้า วิญญาณบาปถูกส่งไปในระดับต่างๆ ยังต้องถูกทรมานต่ออีกนานกว่าจะรู้จักสำนึกผิดอย่างแท้จริงจึงจะได้รับการชำระล้างวิญญาณจนบริสุทธิ์  จากระดับต่ำที่สุด (1ในภาพ 3) สำหรับบาปของความหยิ่งยะโส(Superbia)
ระดับ 2 สำหรับบาปของความอิจฉาริษยา(Invidia)
ระดับ 3 สำหรับบาปของความโกรธ(Ira)
ระดับ 4 สำหรับบาปของความเกียจคร้าน(Acedia)
ระดับ5 สำหรับบาปของความตระหนี่และความสุรุ่ยสุร่าย(Avaritia&Prodigia) ระดับ 6 สำหรับบาปของความตะกละ(Gula)
และระดับ7 ที่สูงที่สุด  สำหรับบาปของกามตัณหา(Luxuria)
พ้นระดับที่เจ็ดถึงแดนสวรรค์บนดิน (Paradiso Terrestre) ตรงกับตำแหน่ง E ในภาพ 3 ดั๊นเต้ พบเบียทริซที่นี่ (ภาพจาก www2.bc.edu นำมาประกอบตัวเลข) วิญญาณในแดนชำระฯ และเทวทูตผู้เฝ้าดูแลในนั้น ต่างร้องเพลงสรรเสริญคุณธรรมต่างๆที่วิญญาณเหล่านั้นไม่เคยได้ทำ และที่นั่นพวกเขาเริ่มสำนึกผิดแล้ว
ใครบ้างที่ผ่านเข้าไปอยู่ในสวรรค์[7]
ดั๊นเต้ จัดไว้ดังนี้คือ  สวรรค์ชั้นที่หนึ่ง(ดวงจันทร์) สำหรับผู้ที่เคยสาบานตนต่อพระเจ้าแต่ภายหลังได้ผิดคำสาบานเหมือนดวงจันทร์ที่มิได้คงที่ถาวรเพราะมีข้างขึ้นแล้วข้างแรม  
สวรรค์ชั้นที่สอง(ดาวพุธ) สำหรับคนดีแต่ยังมีความทะเยอทะยานในลาภยศสรรเสริญ มากกว่าจะมุ่งสู่พระเจ้า 
สวรรค์ชั้นที่สาม (ดาวศุกร์หรือดาววีนัส) สำหรับคนดีที่มีความรัก แต่เป็นความรักที่ยังคงมุ่งในสิ่งอื่นแทนความรักในพระเจ้า 
สวรรค์ชั้นที่สี่ (ดวงอาทิตย์) สำหรับผู้ที่ไม่ประมาท ความฉลาดทำให้นำไปสู่คุณธรรมอื่นๆ
สวรรค์ชั้นที่ห้า (ดาวอังคาร) สำหรับชายนักสู้ผู้มีกำลังอำนาจและตายเพื่อกู้ศาสนา 
สวรรค์ชั้นที่หก (ดาวพฤหัส) สำหรับบุคคลที่รักษาความยุติธรรม 
สวรรค์ชั้นที่เจ็ด (ดาวเสาร์) สำหรับผู้ที่อยู่ในความพอดีพอเพียง นักบวชที่อดทนถือศีลภาวนา 
สวรรค์ชั้นที่แปด (ดาวที่อยู่นิ่ง) สำหรับผู้มีคุณธรรมศาสนา(มีศรัทธา ความหวังและความรักในพระเจ้า) จึงเป็นตัวแทนของชัยชนะของศาสนา เป็นบุคคลสมบูรณ์แบบ สะอาดจากบาปชนิดต่างๆ 
และสวรรค์ชั้นที่เก้า (Primo Mobile) สำหรับเหล่าเทวทูต ผู้ไม่เคยมีบาปใดๆมาทำให้ด่างพร้อย 
เหนือสวรรค์ทั้งเก้าคือสวรรค์ชั้นเอ็มปีเรโอ(Empireo) ที่สถิตของ แก่นแท้ของพระเจ้า 
        บนเส้นทางผ่านไตรภูมิของดั๊นเต้  แต่ละชั้นแต่ละขุมดั๊นเต้ และเวอร์จิลพบบุคคลคนดังคนเลวทั้งในสังคมก่อนคริสตกาลเช่นในกรีซโบราณ และบุคคลในสังคมโรมันและสังคมอิตาเลียนตั้งแต่คริสตกาลถึงยุคร่วมสมัยกับดั๊นเต้   ดั๊นเต้ได้โอกาสซักถามและสนทนากับวิญญาณในแต่ละภูมิที่เขาได้ผ่านเข้าไปเช่นกับวิญญาณบรรพบุรุษต้นตระกูลของดั๊นเต้  เล่าถึงการพบปะการถูกซักถามจากวิญญาณของอัครสาวก นักบุญนักบวช  เขาได้ถ่ายทอดความคิดและพฤติกรรมของบุคคลต่างๆในอดีตในดีวีนา กมเม่เดีย   เช่นนี้เท่ากับว่าดั๊นเต้ ตีแผ่เปิดเผยความจริงที่เขารู้ ความไม่ดีไม่ถูกต้อง คำอธิบายจากวิญญาณว่าทำไมจึงได้ทำบาปนั้นๆ หรือสรรเสริญความดีงามของวิญญาณในสวรรค์ รวมทั้งจดจำคำเตือนจากวิญญาณในภูมิทั้งสามสู่ชาวโลก  เขากล้าพูดกล้าวิจารณ์โดยไม่ไว้หน้าใครเลย   ดั๊นเต้ ได้พรรณนาสภาพของนรก แดนชำระฯและสวรรค์แต่ละชั้นอย่างละเอียดลออ  ภาพของนรกและความทุกข์ทรมานแสนสาหัสที่วิญญาณคนบาปต้องทนไปชั่วฟ้าดินสลาย  ชาวอิตาเลียนติดตามอ่านกวีนิพนธ์ของดั๊นเต้   มีการวิพากษณ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง  มีทั้งสะใจสมน้ำหน้าที่บุคคลหลายคนในวงการศาสนาและการเมืองถูกประณามอย่างตรงไปตรงมาในกวีนิพนธ์ของดั๊นเต้  แต่ก็มีหลายคนที่โกรธเคืองดั๊นเต้  
           การที่ดั๊นเต้ ใช้คำว่า กมเม่เดีย (Commedia ที่แปลว่า สุขนาฏกรรม) แม้ว่าสองในสามของเนื้อหาเกี่ยวกับความโศกสลด ความทุกข์ทรมานของคนบาปจำนวนมากในนรก  แต่กวีนิพนธ์จบลงในสุขคติ ในการได้ เห็นบารมีอันงามเลอเลิศของพระเจ้า  นักวิจารณ์กล่าวว่าวิธีการประพันธ์ของดั๊นเต้  เป็นตัวอย่างสุดยอดของการใช้วัจนลีลาอันหลากหลาย เป็นตัวอย่างของกาพย์กลอน ของบทละครเร้าอารมณ์  ของบทพรรณนาเชิงเปรียบ(ด้านสังคมและการเมืองที่กำลังคุกกรุ่นในยุคนั้น) หรือของบรรยากาศที่เต็มไปด้วยมนต์ขลัง(เมื่อเกี่ยวกับบุคคลในประวัติศาสตร์และในคัมภีร์) เป็นต้น   ทั้งหมดรวมกันในเอกภาพที่สมดุลและมีน้ำหนัก  ที่ชี้ให้เข้าใจว่า ดั๊นเต้ มีแรงบันดาลใจที่ไม่ถดถอยตั้งแต่ต้นจนจบ   นักวิจารณ์สรุปว่า วรรณกรรมชิ้นนี้เป็นอาหารแห่งชีวิต   เป็นความอลังการของ โบสถ์กอติคหลังสุดท้ายของโลก
---------------------------------------------------- 
[1]   มหากาพย์ไตรภูมิของดั๊นเต้ มิได้เป็นเพียงการผจญภัยของจิตวิญญาณของคนๆหนึ่ง เพราะกวีเป็นตัวแทนของมนุษยชาติทั้งหมด เบื้องหน้าระบบระเบียบของโลกทุกชั้นทุกภูมิ ชี้ให้เห็นตำแหน่งของคนในระบบดังกล่าว
[2]  ทำไมดั๊นเต้ เลือกเวอร์จิลเป็นผู้นำทางในนรกภูมินั้น เพราะเวอร์จิลเป็นกวีในโลกโบราณที่ดั๊นเต้ ยกย่องมากกว่ากวีผู้ใด  เวอร์จิลได้ประพันธ์มหากาพย์เรื่อง Aeneid [อีนีด]จากตำนานการสถาปนาของกรุงโรม เนื้อหาในเล่มที่หกของวรรณกรรมนั้นเล่าถึงการเดินทางผ่านลงไปใต้พิภพ  เวอร์จิลจึงเป็นผู้นำทางให้ดั๊นเต้ ได้เพราะรู้เส้นทางในนรกแล้ว  เท่ากับว่าดั๊นเต้ ได้แรงบันดาลใจและอิทธิพลจากวรรณกรรมของเวอร์จิลมาช่วยในการประพันธ์กาพย์ไตรภูมิของเขาเองสิบสองศตวรรษต่อมา 
[3] ดั๊นเต้ ได้เจาะจงเขียนอุทิศกวีนิพนธ์ตอนสวรรค์(Paradiso) ให้แก่เบียทริซ ปอร์ตีนารี(Beatrice Portinari, 1265-1290) สตรีชาวอิตาเลียนที่ดั๊นเต้ ได้เห็นเมื่อเขาอายุเก้าขวบ และนางได้ดลใจดั๊นเต้ จนกลายเป็นความรักอันยั่งยืนในใจ  ดั๊นเต้ได้เห็นนางอีกครั้งหนึ่งเมื่อเขาอายุสิบแปด เขายังมองนางเหมือนเทพธิดาผู้ดลใจให้เขาประพันธ์บทกวี   เขาได้แต่งบทกวีให้นางสองเรื่อง  เบียทริซแต่งงานในปี 1288 (กับคนอื่นเพราะจริงๆแล้วดั๊นเต้ รู้จักเบียทริซเพียงผิวเผินในงานสังคมเท่านั้น) และเสียชีวิตในปี 1290  ดั๊นเต้ พิจารณาความรักในใจที่มีต่อนางว่าเป็นแหล่งพลังที่ทำให้เขาหลุดจากการปักตรึงตนเอง กับความเป็นตัวตนเอง เพื่อมุ่งสู่มิติที่สูงกว่าในโลกที่ตามองไม่เห็น  ในมหากาพย์ไตรภูมิ ดั๊นเต้ แต่งให้เบียทริซ เป็นผู้มานำทางเขาสู่ทางหลุดพ้นและเข้าถึงอาณาจักรของพระเจ้า ให้เบียทริซเป็นสัญลักษณ์ของความศรัทธา คุณธรรมที่จะพาชาวคริสต์สู่พระเจ้าได้   ในเรื่อง เบียทริซเป็นผู้อธิบายเองว่า นางเห็นจากสวรรค์ว่าชีวิตของดั๊นเต้ ในโลกเบนออกจากเส้นทางตรงที่ควรไป จึงให้เวอร์จิลไปพาดั๊นเต้ เดินทางผ่านพิภพเพื่อให้การเดินทางและการได้เห็นสภาพความทุกข์ทรมานของวิญญาณบาปในนรกและแดนชำระฯและการได้เห็นสวรรค์ว่ามีแต่ความปลื้มปิติเช่นใด จะพาจิตสำนึกของดั๊นเต้ กลับสู่ความถูกต้องและเมื่อตายแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ในที่สุด  ดั๊นเต้ จึงเกิดความตั้งใจและวิงวอนให้วิญญาณของกวีในอดีตที่เขาพบในสองภูมิแรก และยังวิงวินขอให้พระเจ้าช่วยให้เขามีพลังอำนาจทางสติปัญญาและความทรงจำเพียงพอที่จะแต่งและเล่าการเดินทางผ่านไตรภูมิของเขาให้ชาวโลกได้รับรู้
[4] เทวทูตหรือที่เรารู้จักคุ้นเคยที่ใช้คำภาษาอังกฤษว่า angels นั้น ความจริงเป็นคำเรียกรวมๆและกว้างๆ  ในคติศาสนามีการจัดแบ่งที่สถิตของเทวทูตรอบๆพระผู้เป็นเจ้าตามความใกล้ไกลโดยมีพระผู้เป็นเจ้าเป็นศูนย์กลาง  เทวทูตแต่ละกลุ่มมีชื่อเรียกเฉพาะเจาะจงที่มิอาจให้คำแปลเทียบได้ในภาษาไทย  จึงให้ชื่อเรียกกลุ่มเทวทูตแต่ละกลุ่มเป็นภาษาอังกฤษ  แต่ละกลุ่มมีหน้าที่เฉพาะเจาะจงที่ได้รับมอบหมายจากพระเจ้า   ศิลปินบางคนเสนอรวมตำแหน่งที่สถิตของเหล่าทวยเทพซ้อนเหนือและตรงกับวงแหวนดวงดาวทั้งเก้าชั้น  ในที่นี้เราจึงจัดเรียงที่สถิตของเทวทูตตามวงแหวนดาวในท้องฟ้าจากวงแหวนที่หนึ่งไปยังวงแหวนที่เก้า โดยที่วงแหวนที่เก้าเป็นกลุ่มเทวทูตที่อยู่ใกล้พระผู้เป็นเจ้ามากที่สุด  ตามด้วยหน้าที่ของเหล่าเทวทูตแต่ละกลุ่ม
[5]  ทฤษฎีของปโตเลมีเป็นข้ออ้างอิงติดต่อกันมาสิบห้าศตวรรษ จนเมื่อโคแปร์นิก (Nikolaj Kopernik, 1473-1543) พิสูจน์ให้เห็นว่าโลกมิได้นิ่งอยู่กับที่ แต่หมุนไปรอบดวงอาทิตย์ เหมือนดาวพระเคราะห์ดวงอื่นๆที่ก็หมุนรอบดวงอาทิตย์ด้วย  การค้นพบของโคแปร์นิกส่งผลกระทบมหันต์ต่อระบบความรู้ความเข้าใจของปัญญาชนชาวยุโรป ผู้ตื่นตัวและเริ่มศึกษาค้นหาความจริงด้วยวิทยาศาสตร์และประสบการณ์  นับเป็นจุดหักเหที่นำโลกออกจากยุคกลางสู่ยุคเรอแนสซ็องส์
[6]  แบร์นาร์ดเดอแกลโวส์ เป็นบุคคลสำคัญที่สุดในคริสตจักรยุคนั้น ผู้ก่อตั้งอารามนักบวชที่แกลโวส์ ในปี 1115 กระชับกฎการครองตนของนักบวชตามคติซี้โตส์(Cîteaux)อย่างเคร่งครัด มีส่วนทำให้คริสตจักรกลับเข้มแข็งและขยายออกไปอย่างกว้างขวางในยุโรป  ความตรงและความขยันขันแข็งในการปฏิบัติภารกิจของนักบวชทำให้เป็นที่ปรึกษาของสันตะปาปา ได้รับการยกย่องอย่างสูงในคริสตจักร  เป็นผู้อภิปรายเชิญชวนชาวคริสต์ให้ไปทำสงครามครูเสดครั้งที่สอง  การที่ดั๊นเต้ สร้างให้นักบุญแบร์นาร์ดมาเป็นผู้นำทางไปสู่อาณาจักรของพระเจ้านั้น  มีเหตุผลสนับสนุนอย่างแท้จริง ในฐานะที่นักบุญแบร์นาร์ดได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่เคารพบูชาและสรรเสริญพระแม่มารีสูงสุดอย่างมิมีผู้ใดเทียบเท่า และมีส่วนสร้างกระแสความศรัทธาและการเคารพบูชาพระแม่มารีให้แพร่หลายไปมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของคริสต์ศาสนา  ดังนั้นหากนักบุญแบร์นาร์ดเป็นผู้ขอร้องให้พระแม่มารีช่วยดั๊นเต้ ให้เข้าถึงอาณาจักรของพระเจ้า  พระแม่มารีย่อมไม่ปฏิเสธ
[7] รางวัลของคนที่เคยทำความดีงามในชีวิตและได้ขึ้นไปอยู่สวรรค์นั้น  คือการได้อยู่ในสวรรค์ที่สว่างไสว  กลิ่นหอมอบอวล ของดอกไม้ และมีเสียงดนตรีและเสียงเพลงกังวานเสนาะหู  นอกจากสภาพอันน่าอภิรมย์ดังกล่าว ไม่มีรายละเอียดมากนัก ผู้ใดไปสวรรค์บ้าง 
  
โชติรส โกวิทวัฒนพงศ์ นำลงบล็อกนี้ วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๗.