Thursday 10 October 2019

ข้าพเจ้าคิด ดังนั้นข้าพเจ้ามีตัวตน - I think, therefore I am.

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว(ยี่สิบกว่าปีก่อน) เพื่อนฝรั่งเศส(คนเดียวที่มีและที่เหลือ) แต่งบทกลอนบทหนึ่งส่งไปให้ข้าพเจ้า (ตอนนั้นข้าพเจ้าออกไปพักร้อนที่ไหนสักแห่ง)  บทกลอนนั้นแต่งได้ไพเราะมีความหมายดี เห็นความอ่อนโยนในใจเพื่อน การใช้คำมีจังหวะและอ่านได้ลื่นไหล อ่านแล้วก็พอใจมาก ข้าพเจ้ารึก็ไม่มีฝีปากที่จะตอบเป็นกลอนไปถึงเพื่อนได้ ก็พอดีให้ได้เจอบทกวีบทหนึ่งของกวีเอกฝรั่งเศสที่แต่งไว้ได้ไพเราะและเต็มไปด้วยความหมายพร้อมภาพพจน์ที่สวยงามของธรรมชาติอันสงบ บทกวีนั้นจบลงด้วยใจความว่า เหนือความประทับใจของธรรมชาติที่ทอดอยู่ตรงหน้า ความงามของภาษาตรึงใจเหมือนวรรณกรรมเรื่องหนึ่ง   
       ข้าพเจ้าเห็นว่า บทนี้ตรงกับที่ใจอยากบอก จึงเลือกการ์ดรูปทิวทัศน์สวยงามยิ่งของวันก๊อก (Van Gogh) จิตรกรชั้นครู เป็นภาพทิวทัศน์ในชนบท แสงสีฟ้าโดดเด่นในภาพนั้น แล้วบรรจงลอกบทกลอนของกวีฝรั่งเศสลงไปด้วยลายมือที่งดงาม บอกที่มาของบทกลอนนั้น ใครเป็นผู้ประพันธ์ (ณนาทีนี้ จำบทกวีได้เพียงคร่าวๆ
เสียดายว่ามิได้บันทึกไว้ แต่สิ่งที่ไม่ลืมคือผลจากการกระทำของข้าพเจ้า) แล้วส่งกลับไปให้เพื่อนด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องว่า  เราได้แสดงความคิดเห็นเรื่องบทกลอนที่เขาแต่งขึ้นแล้ว และได้เขียนสิ่งที่งามที่สุดไปให้แล้วเป็นคำชม.
       อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ได้รับจดหมายของเพื่อนที่(ยังมีหน้ามา)บอกว่า ได้รับการ์ดแล้ว กวาดตาอ่านที่คัดลอกไป แล้วก็ฉีกทิ้งลงถังขยะไปเลย  มันไม่มีอะไรที่เป็นของคุณ จากตัวตนแท้ๆของคุณ  ไม่มีความหมายใดๆสำหรับผม  ถ้าคนที่ได้รับการศึกษาอย่างคุณ ไม่รู้จักพูดแสดงความคิดเห็นความชอบของคุณเอง เอาแต่อ้างคำพูดคนนั้นคนนี้ เหมือนเด็กอายุสิบหก แล้วจะมีความหวังใดเหลืออีก.  อ่านแล้วก็โกรธจัด บังอาจฉีกการ์ดใบสวยที่ข้าพเจ้าหวงแหนมากทิ้ง  เขียนตอบไปทันทีว่า  แล้วคุณไม่คิด ไม่ให้ค่าของความตั้งใจของฉัน ในการเลือกการ์ด ในการเลือกบทกวีที่ส่งไปให้เลยรึ (แห้มสับเราซะเป็นหมูบะช่อไปเลย).
      วันเวลาผ่านไป เมื่อหายโกรธ ก็มาคิดพินิจพิเคราะห์เกี่ยวกับนิสัยการใช้ภาษาของข้าพเจ้า. ไม่ว่าจะในภาษาไหน เราเคยชินตั้งแต่เด็กกับการจำประโยคสวยๆ เพราะๆ คำคมเก๋ๆ แล้วก็นำไปใช้แบบเป็นสำนวนเบ็ดเสร็จ (จนเดี๋ยวนี้ บางทีก็ยังทำอยู่ แต่ด้วยความกลมกลืนกับสิ่งที่กำลังเขียนมากขึ้น). ครูผู้คุมวิทยานิพนธ์ชาวฝรั่งเศสที่มหาวิทยาลัยปารีส พูดย้ำเสมอว่า เมื่ออ่านอะไรเข้าใจแล้ว ก็ให้อธิบายสิ่งที่เข้าใจออกมาด้วยภาษาสำนวนของตนเอง กำกับที่มาของเนื้อหาให้ชัดเจนเพื่อให้ผู้อ่านตามไปตรวจสอบความถูกต้องว่า เราเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่ไปยกคำพูดหรือข้อความของคนนั้นคนนี้มาใส่ลงในวิทยานิพนธ์เพื่อให้ยาวๆ. ถ้าจำเป็นก็ให้เอาไปใส่ในเชิงอรรถก็พอ. การลอกเลียนคำพูดของคนอื่นๆ ต่อให้คำพูดนั้นคมและไพเราะเพียงใด ก็ไม่ได้บอกว่าคุณเข้าใจและคุณได้อะไรจากข้อความนั้น ยิ่งบทความถูกใจและคุณซาบซึ้งในสิ่งที่อ่าน ก็ยิ่งง่ายแก่การย่อยสังเคราะห์และถ่ายทอดออกมาด้วยสำนวนภาษาของตัวเอง ใช้ภาษาง่ายๆของคุณเองนั่นแหละ ที่แสดงให้เห็นว่าเมื่อเข้าใจแล้ว ย่อมพูดสิ่งยากๆซับซ้อนให้เป็นสิ่งง่ายๆได้. นั่นแหละคือการเก็บใจความและการพัฒนาวิธีการนำเสนอข้อมูลที่ดีที่สุด และเมื่อนั้นเท่ากับว่าสิ่งที่คุณเรียนรู้จากคนอื่นมา ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในสติปัญญาของคุณ. นี่คือแนวทางการเขียนงานวิจัยตามกฎตามขนบฝรั่งเศสที่ครูได้พร่ำสอนข้าพเจ้ามา.
      บทเรียนครั้งนั้นโหดร้ายที่สุดและมีค่าที่สุดต่อชีวิต ต่อการพัฒนาตัวเองของข้าพเจ้า. ข้าพเจ้าต้องขอบคุณเพื่อนที่ได้ทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้ข้าพเจ้าลุกยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเองทั้งในการเรียนรู้และในการเจริญวัย และก็รู้คุณเพื่อนอยู่เสมอที่เป็นผู้เตือนประเภทไม่ไว้หน้าใคร เป็นผู้แก้สิ่งขรุขระที่ไม่งามทั้งหลาย ให้หมดไปทีละเล็กทีละน้อย. สำนึกสิ้นในวิญญาณว่า ตราบใดที่ยังมีอีโก้ เราก็เหมือนปักตรึงอยู่กับที่. การรู้จักถ่อมตน รับฟังคำตำหนิของคนอื่น เป็นจุดก้าวข้ามความจำกัดออกไปสู่โลกภายนอกอันกว้างใหญ่ที่ทอดอยู่เบื้องหน้า. ขอคารวะเพื่อนคนนั้น สำนึกรู้คุณเสมอมาไม่เสื่อมคลาย เล่ามาให้เป็นอุทาหรณ์.
         ตามประสาพวกเราชาวอักษรฯ ช่างจดช่างจำคำคม สุภาษิต บทกลอน คำโคลงที่เราท่องไว้ในวัยเด็กโดยไม่รู้สึกว่าลำบากยากเย็นอะไร เพราะความไพเราะคล้องจองของภาษาไทยที่ใช้  และเราก็จำๆกันโดยที่ครูไม่ได้บอกให้จำหรือเพราะจะต้องสอบ จำได้เพราะมันโดนใจเรานั่นเอง. มันจึงอยู่กับเรามาตลอด แม้จะตกหล่นคำสองคำไปบ้างในวัยหกสิบกว่านี้ แต่มันยังคงไพเราะเสนาะหูและประทับใจเราเรื่อยมา. นี่คงไม่ใช่สิ่งที่เราควรแก้ไข มันเป็นเรื่องความชอบส่วนตัว แต่กระแสการส่งเมล์ ส่งลายน์ การส่งต่อข้อความในมีเดียยุคปัจจุบัน ได้ทำลายโอกาสของการสื่อสารด้วยตัวของเราเอง ลดทักษะการใช้ภาษาและฝังความขี้เกียจให้ลึกลง. น่าเสียดาย อย่าปล่อยสมองดีๆของเราให้จมลงในความอืดอาด มันจะฝ่อลงๆ. อันตราย! ประเภทที่คิดมาก ครุ่นคิดไม่หยุด ก็เสี่ยงไม่แพ้กัน จงใช้สมองอย่างพอเพียงและให้พอเหมาะเสมอระดับวุฒิภาวะของเราเถิด.


        เรื่องที่นำมาให้อ่านข้างล่างนี้ เป็นตอนหนึ่งในบทความที่ว่าด้วยการพัฒนาจิตสำนึกแห่งตน ที่ปรากฏลงในรวมบทความของโชติรส โกวิทวัฒนพงศ์ ชื่อ ยุโรปในมุมมองวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ของศูนย์ยุโรปศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 2012 หน้า 296-300. ได้นำแง่คิดของนักปราชญ์ฝรั่งเศสชื่อ เดส์ก้าร์ต (René Descartes [เรอเน่ เดก้ารฺตฺ], 1597-1650) สรุปย่อๆมาให้พิจารณา...  

ภาพ René Descartes (1596-1650) ผลงานของ Frans Hals ในราวปี 1649-1700. ภาพมาจากคลังสะสมของดยุ๊กแห่งออร์เลอ็องส์ (Orléans) พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ให้ซื้อมาในปี 1785 ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Le Louvre,อาคาร Richelieu ชั้น ห้อง 27 (เครดิตภาพ : André Hatala, 1997, ปรากฏในวิกิพีเดีย, Public domain)

ข้าพเจ้าคิด ดังนั้นข้าพเจ้ามีตัวมีตน 
       ความคิดคืออะไร?  เดส์ก้าร์ตปราชญ์ฝรั่งเศสกล่าวว่า ความคิดคือทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในตัวเราและเรารู้ได้ทันทีด้วยตัวเราเอง (Principes de la philosophie, I, 9). อาจต้องเจาะจงว่า ความคิดมีความหมายเดียวกับสติปัญญาในแง่ของพฤติกรรมที่ไม่เกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึกหรือความตั้งใจ เพราะความคิด คือความสำนึกของสติปัญญา (ที่ตรงข้ามกับการรับรู้ข้อมูลของประสาทสัมผัส), ก่อให้เกิดความเข้าใจและสร้างเหตุผลที่เอื้ออำนวย ให้เข้าถึงเนื้อหาของความรู้หนึ่ง ด้วยการสังเคราะห์ข้อมูล อันเป็นพฤติกรรมระดับสูงกว่าการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส ด้วยการท่องจำหรือด้วยจินตนาการ. ปราชญ์ตะวันตกวิเคราะห์กันไว้ว่า โดยทั่วไป การคิดคือ การเชื่อตามที่ได้ยินโดยที่คิดว่าได้คิดแล้ว ความจริงเราเพียงให้ความเห็นหรือคล้อยตามความเห็น มากกว่าคิดจริงๆ. การมีความเห็นเหมือนบุคคลรอบข้าง เป็นไปตามธรรมชาติ เพราะเราจำเป็นต้องมีบทอ้างอิง ความเห็นของส่วนรวมนั้นมีอยู่แล้วไม่ต้องเสียเวลาหาและก็ไม่สร้างปัญหาใดๆให้เหนื่อยใจ เพราะทุกคนเข้าใจอยู่แล้ว. ท่าทีดังกล่าวสร้างความอบอุ่นใจเหมือนมีเกราะคุ้มครอง ให้ความรู้สึกว่าตนเป็นหน่วยหนึ่งของสังคม ปลอดภัยด้วยประการทั้งปวง. การรู้คิดจริงๆจึงไม่เกิดกับทุกคน แต่เป็นสิ่งที่ต้องเรียนและฝึกฝน.
       การคิดเป็นกระบวนการที่ยากและสับสนสำหรับสมองและในที่สุดเป็นเรื่องน่าเบื่อ. นักคิดทั้งหลายมักมีชื่อเสียงไม่ดี เอรัสมุส (Eramus, 1469-1536 ชาวฮอลแลนด์เคยเขียนไว้ในหนังสือเรื่อง สรรเสริญความบ้า (Eloge de la folie, 1511) ว่า เชิญปราชญ์มาร่วมงานเลี้ยงสักคนหนึ่งดูสิ เขาจะกลายเป็นผู้ทำลายบรรยากาศของงาน เพราะถ้าเขาไม่นั่งนิ่งเงียบเหมือนอยู่ในป่าช้า เขาก็จะพูดพล่ามยาวเหยียด... นอกจากเขาจะสร้างภาพพจน์แง่ลบแก่ตัวเขาเอง  เขายังไม่ได้สร้างภาพพจน์อันดีแก่ประเทศ แก่มิตรสหาย เพราะเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องธรรมดาสามัญ ไม่รู้ว่าชาวบ้านทั่วไปคิดอะไร...  
       
คนเริ่มคิดเมื่อไรนั้น ทั้งโสคราติซกับเปลโตตอบว่า เมื่อคนประหลาดใจ เราประหลาดใจเมื่อไม่เข้าใจ ไม่รู้ จึงเริ่มคิดหาคำตอบ พร้อมกับตั้งคำถาม สงสัย แล้วหาความหมายให้กับสิ่งที่สร้างความประหลาดใจแก่เรา. ผู้ที่คิดมากๆเข้าและหาคำตอบได้มากกว่าผู้อื่น จึงกลายเป็นปราชญ์ เป็นผู้มีอัจฉริยภาพเหนือสามัญชน และในที่สุดให้มรดกของ การเป็นคนรู้คิด” ไว้เป็นอนุสรณ์แก่ประเทศและแก่โลก.
        
เดส์ก้าร์ตบันทึกไว้ว่า นานแล้วที่ข้าพเจ้าพบว่าตั้งแต่ปีแรกๆในวัยเด็ก ข้าพเจ้าได้รับข้อคิดเห็นที่ผิดๆจำนวนมาก โดยเชื่อสนิทว่านั่นเป็นความจริงเพราะฉะนั้นหลักการที่ข้าพเจ้าวางไว้สำหรับตัวเองบนพื้นฐานของข้อมูลผิดๆที่ข้าพเจ้าเรียนรู้มานั้น ย่อมใช้ไม่ได้หรือน่าสงสัย. ข้าพเจ้าจึงมาคิดว่า หากข้าพเจ้าต้องการสร้างสรรค์อะไรที่แน่แท้มั่นคงในโลกแห่งวิทยาการ จำเป็นที่ข้าพเจ้าจะละทิ้งข้อคิดเห็นทั้งหมดทั้งสิ้นที่ข้าพเจ้าเคยรู้และเชื่อเสมอมา แล้วเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่พื้นฐาน (จากหนังสือ René Descartes, p. 267). เขายังเจาะจงไว้ว่า เขาไม่ต้องการเป็นหนี้ความรู้ใคร. เดส์ก้าร์ต ต้องการค้นหาความจริงในโลกด้วยวิธีการคณิตศาสตร์และเรขาคณิตวิเคราะห์เท่านั้น. เขาอยากค้นหาตัวตนของเขาเอง ด้วยเหตุและผลเป็นขั้นเป็นตอนไป โดยตัดความคิดเห็นอื่นใดที่มีมาออกหมด เพราะความคิดเห็นต่างๆที่รู้มา จะบดบังความจริงมากกว่าจะช่วยให้เข้าใจความจริง. เขาต้องการหาความเห็นส่วนตัวของเขาเอง หลุดจากการพูดตามพูดซ้ำคนอื่น.
       
ก่อนหน้าเดส์ก้าร์ตไม่นาน เลโอนารโด ดาวินชี กับนิโกลัย โกเปรนิก (Nicolaj Kopernik, 1471-1543) สองนักปราชญ์ในยุโรปยุคใหม่ ผู้ค้นพบความจริงใหม่ๆ กฎเกณฑ์ใหม่ๆทางวิทยาศาสตร์ สร้างทฤษฎีความรู้ด้วยสติปัญญา จากความคิดตรึกตรองจากเหตุปัจจัย จากการทดลอง ไม่ใช่จากความเชื่อหรือจากคำบอกเล่า. เป็นที่น่าสังเกตว่า ในยุคศตวรรษที่ 17 เดียวกันนั้น นักปราชญ์ยุโรปเกือบทุกคน ให้ความสนใจคณิตศาสตร์และใช้แนวคณิตศาสตร์ ค้นหาเทคนิคและวิทยาการใหม่ๆ. คณิตศาสตร์เท่านั้น ที่เป็นเครื่องมือสำรวจจักรวาล สำรวจโลกมนุษย์โดยไม่ทำให้สับสน ทั้งนี้เพราะคำแต่ละคำที่เราใช้กัน เพียบด้วยความหมายที่เป็นมรดกจากวัฒนธรรมและจากประวัติศาสตร์. คำทั้งหลายจึงเป็นตัวจำกัดความคิดอ่านของเราโดยเราไม่รู้ตัว. แต่ตัวเลขไม่มีเนื้อหานัยแทรก ที่จะมีอิทธิพลต่อความคิดตัวเลขจึงเป็นตัวกลาง เป็นสื่อที่บริสุทธิ์กว่าและอาจใช้เป็นภาษา, เป็นทุ่นในการค้นหาความจริงได้ดีกว่า. ภาษาคณิตศาสตร์ ไม่มีความกำกวมใดๆ. หนึ่งบวกหนึ่งต้องเป็นสอง ไม่มีคำตอบอื่น. เราเข้าใจได้ดียิ่งขึ้นว่า ภาษาคณิตศาสตร์ไม่มีนัยวัฒนธรรมอื่นแทรกซ้อนที่สร้างความสับสนได้ เพราะไม่ว่าเราจะเขียนจำนวนด้วยตัวเลขอาราบิค 1, 2, 3 ฯลฯ หรือตัวเลขไทย  หรือตัวเลขโรมัน I, II, III, ความหมายคงที่เสมอ จึงเป็นภาษากลางที่ชนทุกชาติทุกภาษาสื่อถึงกันได้ทันที.
       เดส์ก้าร์ต จึงใช้วิธีการของคณิตศาสตร์และอภิปรายตามแนวของปรัชญา เพื่อหาความรู้ตั้งแต่ศูนย์ขึ้นไป ตัดความรู้ต่างๆที่เขาเรียนมาจากโรงเรียนทิ้งหมดสิ้น. เขาเริ่มจากตัวเองก่อนว่า เขาเป็นใคร คืออะไร มีตัวตนไหมและมีอะไรเป็นต้น. เขาเริ่มหาความจริงของเขาทีละอย่างทีละขั้นๆ เมื่อได้คำตอบก็ก้าวต่อไปอีกขั้นหนึ่ง โยงเกี่ยวกันเป็นลูกโซ่ที่มั่นคงและไม่หลุดสลายลง, ด้วยวิธีการแบบนี้ เขาสร้างตัวเขาเองใหม่ บุคลิกใหม่ ให้ความหมายใหม่แก่คำว่า ผม(ข้าพเจ้าเป็น ข้าพเจ้า ที่ไม่เหมือนใครเลย. เขาเนรมิต “ตัวผม” ที่รู้คิดขึ้นมา เพราะฉะนั้นเมื่อเขาอุทานออกมาว่า“ ข้าพเจ้าคิด ข้าพเจ้าจึงมีตัวตน  (Je pense donc je suis. หรือในภาษาอังกฤษว่า I think,  therefore I am. สำนวนละตินที่จดจำกันในหมู่ชาวยุโรปคือ Cogito, ergo sum.เป็นเสียงแห่งความมั่นใจ เป็นเสียงของความสุขที่ได้ค้นพบตัวเอง ลากตัวเองออกจากความมืดอันเวิ้งว้างสู่แสงสว่าง.
       
แต่ยุคนั้นการเป็นคนรู้คิดเป็นภัยต่อสังคม ต่อระบบสมบูรณาญาสิทธิราชและต่อศาสนา. เดส์ก้าร์ต ต้องลี้ภัยออกจากประเทศฝรั่งเศสไปสวีเดน ไปให้ไกลจากอิทธิพลแวดล้อมที่ส่งผลต่อการค้นหาความจริงของเขา ตอนนั้นเขามีอายุ 23 ปี. งานเขียนของเขา (Les Méditations) พิมพ์เผยแพร่ออกมาในปี 1637 เท่านั้นเมื่อเขาอายุ 41 ปี. ในยุคเดียวกันนั้น กาลิเลโอ พิสูจน์ให้เห็นว่าโลกกลม มีแรงศูนย์ถ่วงฯลฯ และถูกคริสต์ศาสนาประณามว่าเป็นคนสติฟั่นเฟือน (ปี 1633). กาลิเลโอตกอับและอยู่ในความลำบากยากแค้นตลอดยี่สิบปีสุดท้ายของชีวิต.
       ปัจจุบันสังคมตะวันตก ค้ำจุนและปกป้องสิทธิและเสรีภาพในการคิด เหมือนหรือต่างจากคนอื่น หรือผิดแปลกจากระบบสังคม จากระบบศาสนาหรือค่านิยมของสถาบันใด. แต่ในศตวรรษที่17นั้น อาจมีโทษถึงตาย. ชาวฝรั่งเศสต้องคอยการปฏิวัติฝรั่งเศส(ปี 1789) เพื่อการมีเสรีภาพในการคิดและการมีความเห็นของตนเอง ตามบัญญัติที่ระบุไว้ในประกาศสิทธิมานุษยชนและสิทธิของประชาชนบทหนึ่งที่ว่า ไม่มีใครต้องหวาดกังวลเกี่ยวกับความคิดเห็นของตนเอง. กฎหมายคุ้มครองเสรีภาพในการคิด ในการมีความเห็นของประชาชนแต่ละคน. เสรีภาพนี้ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันในทุกประเทศ.

        ในที่สุด ชาวฝรั่งเศสเรียนรู้อะไรจากงานเขียนของ เดส์ก้าร์ต พอจะสรุปได้ว่า เขาแนะให้สงสัยไว้ก่อนว่า ข้อมูลเอกสารทั้งหมด มาจากขนบหรือธรรมเนียมที่คนอื่นวางไว้และที่ตกทอดมา เพราะฉะนั้นไม่อาจนำมาเป็นความจริงแท้แน่นอนได้ เพื่อให้ได้ความจริงหรือความรู้ที่แท้จริง ต้องคิดดังนี้
1) แบ่งปัญหาที่เผชิญออกเป็นรายละเอียดปลีกย่อยเล็กๆลงไปให้มากที่สุด ให้เป็นคำถามเล็กๆโดยที่แต่ละคำถามมีหนึ่งปัญหาเล็กปัญหาเดียว เช่นนี้สติปัญญาจะแก้ปัญหาทีละปัญหาไป อันเป็นสิ่งง่ายกว่า.   
วิธีการนี้ดูจะได้ผลดีที่สุด โดยเฉพาะในวงการวิทยาศาสตร์ ที่ยังคงใช้วิธีนี้แก้ปัญหาเสมอมาจนถึงปัจจุบัน.
2)
ให้พินิจพิจารณาข้อมูลที่ได้ยินได้ฟังมาด้วยความละเอียดถี่ถ้วน ว่าทุกส่วนมีเหตุมีผลต่อเนื่องกันอย่างแท้จริงหรือไม่ และเพื่อวัดความถูกต้องของข้อความ ต้องเปิดโอกาสรับรู้และเข้าใจข้อมูลกว้างออกไป ซึ่งเป็นการตรวจสอบความถูกต้องหรือความเป็นไปได้หรือไม่ ของข้อมูลให้ชัดเจนยิ่งขึ้น พร้อมกับให้โอกาสเปรียบเทียบและพิสูจน์ข้อมูลว่าจริงหรือไม่จริง.
      
วิธีการของเดส์ก้าร์ต เป็นหลักสำคัญในการเรียนรู้ความจริงแบบวิทยาศาสตร์ ก่อให้เกิดความเข้าใจถ่องแท้เกี่ยวกับปรัชญาว่าน่าเชื่อมากน้อยเพียงใด. ด้วยวิธีการนี้ปราชญ์รุ่นต่อๆมา ค้นพบจุดบกพร่องต่างๆในปรัชญาตะวันตก. เดส์ก้าร์ต จึงเป็นผู้เปิดทางของการคิดแก่โลก. 
        แต่เมื่อฝึกคิดตามนี้จนเป็นนิสัยแล้ว ก็ยากจะหยุดอยู่ที่การเรียนรู้เท่านั้น. นิสัยแบบนี้แทรกเข้าในชีวิตสังคมด้วย ทำให้สงสัยคำพูดของทุกคนไว้ก่อนว่าไม่จริง หรือเห็นว่าการสนทนาเป็นเพียงมารยาทสังคมที่ไร้ความหมายที่แท้จริง. หากคิดเช่นนี้ย่อมทำลายความสงบในสังคม กระทบกระเทือนไปหมดทุกฝ่าย เพราะเกิดอคติล่วงหน้าไว้แล้วว่า คนเราพูดเพื่อพูดเท่านั้น. เพราะฉะนั้นการนำลัทธิ เดส์ก้าร์ต ไปใช้ในสังคมจึงมีภัย ซึ่งปราชญ์เองรู้ตระหนักถึงข้อนี้และได้เตือนไว้. ในทำนองเดียวกัน ก็ทำให้นึกต่อไปถึงบทบาทของภาษาในสังคม ดังที่รู้กันแล้วว่าภาษามีหลายระดับที่อาจให้นัยความหมายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแม้จะสื่อเนื้อหาเดียวกัน. อย่างไรก็ดี เดส์ก้าร์ต เป็นผู้เริ่มปูทางปรัชญาแนวใหม่ ด้วยการชี้ให้เห็นว่า ต้องระวังความหมายซ้อนๆที่ติดมาจากวัฒนธรรมของคำแต่ละคำ, อย่ารับมันมาเต็มร้อยโดยไม่คิดให้ถี่ถ้วน.
       
เดส์ก้าร์ต พิมพ์งานเขียนของเขาเป็นภาษาฝรั่งเศส ซึ่งก็ผิดธรรมเนียมในศตวรรษที่ 17 ที่หนังสือความรู้ วิทยาการหรือปรัชญาเขียนเป็นภาษาละติน. เขายืนยันความเป็นคนฝรั่งเศส เน้นความสำคัญของการใช้ภาษาเพื่อสื่อสารกับชาวฝรั่งเศส, ให้ชาวฝรั่งเศสทุกคนเป็นผู้อ่าน, เป็นผู้ตัดสินงานเขียนของเขา, ไม่ใช่กลุ่มปัญญาชนกลุ่มน้อยในมหาวิทยาลัยหรือสถาบันศาสนาที่ใช้ภาษาละติน. เมื่องานเขียนของเขาพิมพ์ออกสู่สังคม 18 ปีต่อมา (1637), ปัญญาชนยุโรปตื่นตัว ต่างเริ่มจับ “ความคิด” มาเป็นหัวข้อศึกษาทางปรัชญา. ยุโรปตอนนั้นพูดภาษาฝรั่งเศส คำกล่าวของเดส์ก้าร์ต ที่ว่า “ ข้าพเจ้าคิด ข้าพเจ้าจึงมีตัวตน ฝังอยู่ในจิตสำนึกของชาวยุโรปตั้งแต่นั้นมา, เป็นแนวศึกษาใหม่ที่เรียกว่า  การเตเซียนิสซึม (cartésianisme) ที่สอนในสถาบันการศึกษาตั้งแต่ปี 1662 ที่เมืองลูแว็ง (Louvain ประเทศเบลเยียม), ที่มหาวิทยาลัยซอรบอนน์ (Sorbonne) ในปี 1669 และปี 1672, และเป็นหนึ่งในหนังสือต้องอ่านในระบบการศึกษาฝรั่งเศสตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20. ฝรั่งเศสดูเหมือนจะเป็นประเทศเดียวที่บังคับสอบวิชาปรัชญาในประโยคมัธยมศึกษาตอนปลาย. ระบบการศึกษาฝรั่งเศส จึงยังคงให้ความสำคัญแก่การรู้จักคิด. ชื่อเดส์ก้าร์ต ใช้เรียกมหาวิทยาลัยปารีสที่ห้า (Université René Descartes). ปรัชญาของ เดส์ก้าร์ต วางเทคนิคการคิดเพราะผู้รู้คิดคือผู้ค้นพบตัวเอง, สืบทอดการหาความรู้และความจริงด้วยวิธีวิทยาศาสตร์ที่เลโอนารโดและโกเปรนิกเป็นผู้บุกเบิกกรุยทางไว้.

       เดี๋ยวนี้ทุกคน ทุกมุมโลก กินอยู่(เกือบ)แบบเดียวกัน ใช้สินค้าแบบเดียวกัน แต่งตัวเหมือนๆกัน และแน่นอนอีกไม่นานอาจจะพูดภาษาเดียวกัน แม้กระนั้นเกือบทุกคนเชื่อมั่นว่าตัวเองคิดเป็นและคิดต่าง...

โชติรส โกวิทวัฒนพงศ์ บันทึกเพื่อนำลงเผยแพร่ในบล็อก
เมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๗.