Saturday 13 June 2015

กุหลาบดามัซก์แห่งบัลเกเรีย - The Rose of Bulgaria



          ถิ่น Kazanlak เป็นถิ่นปลูกดอกกุหลาบถิ่นสำคัญที่สุดในประเทศบัลเกเรีย เนื่องจากมีอนุภูมิอากาศและดินที่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตของกุหลาบพันธุ์ Damascena ที่กระจายแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็ว จนทำให้ปัลเกเรียโดดเด่นขึ้นบนเวทีโลกในฐานะผู้ผลิตน้ำมันดอกกุหลาบจากสายพันธุ์นี้ที่มีคุณภาพสูงสุด  กุหลาบนี้กลายเป็นสมบัติล้ำค่าของประเทศ  เป็นดอกไม้ประจำชาติ
         Rosa damascena หรือที่รู้จักกันในนามว่า Damask rose บางทีก็เรียกว่า Rose of Castile เป็นพันธุ์ผสมจากกุหลาบสายพันธุ์ Rosa gallica (ที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเทือกเขา Caucasus และในยุโรปภาคใต้กับยุโรปภาคกลางด้านตะวันออกของตุรกี ดอกชั้นเดียวมีห้ากลีบ) กับกุหลาบสายพันธุ์ Rosa moschata (หรือ musk rose เนื่องจากส่งกลิ่นคล้ายกลิ่นชะมดเชียง เข้าใจว่ามีถิ่นกำเนิดในแถบเทือกเขาหิมาลัย ดอกสีขาว เหลืองอ่อนๆหรือชมพู)
 Rosa gallica
 Rosa moschata
Rosa damascena จากทุ่งกุหลาบที่ Kazanlak ประเทศบัลเกเรีย

กุหลาบสายพันธุ์ damascena เป็นไม้พุ่มไม่สูงมาก (เพื่อความสะดวกในการเก็บดอก) (เอกสารระบุว่าราว 2.2 เมตร แต่ที่เห็นมานั้นต้นเตี้ยกว่ามาก)  ปลูกให้แผ่ออกในแนวนอนมากกว่าให้ต้นสูงใหญ่  ปล่อยให้ขึ้นตามธรรมชาติไม่ดัดไม่แต่งให้คงรูปใดรูปหนึ่งโดยเฉพาะ   ต้องการให้แตกกิ่งออกให้มากที่สุดเพื่อให้ได้ดอกมากที่สุดจากทุกกิ่ง  กิ่งอ่อน ไม่แข็งทื่อ ดอกไม่ใหญ่ กลีบซ้อนกันแบบหลวมๆไม่แน่นหรือเฟิร์ม  ออกดอกดกเต็มทุกกิ่งเต็มทั้งต้น เวลาเก็บดอกกุหลาบเพื่อนำไปใช้นั้น เก็บดอกบานเต็มที่แล้ว  สีดอกกุหลาบสายพันธุ์นี้มีตั้งแต่สีชมพูอ่อนๆไปจนถึงเกือบแดง  ส่วนใหญ่ที่เห็นเป็นสีชมพูมากกว่า
วิธีเก็บดอกกุหลาบที่จะไม่ทำลายดอกไม้ ฝ่ามือ(อุ้งมือขวา) ครอบลงบนดอกไม้ เด็ดตรงโคนดอกให้หลุดออก เก็บด้วยมือทุกดอก จึงเป็นงานหนักมาก และยังต้องออกไปเก็บแต่เช้าตรู่ก่อนตะวันขึ้นได้เป็นดีที่สุด เพราะบนดอกไม้ยังมีน้ำค้างเกาะอยู่ที่เหมือนเป็นม่านปิดและกักกลิ่นหอมของกุหลาบไว้  เก็บแล้วก็รีบนำไปยังโรงงาน เข้าในเครื่องอบไอน้ำร้อน เพื่อสกัดเอากลิ่นหอม  เช่นนี้จักได้กลิ่นหอมเข้มข้นที่สุดจากดอกกุหลาบ  การเก็บดอกกุหลาบในทุ่งแดน Kazanlak นั้น เก็บในเดือนพฤษภาคม  แต่มีดอกกุหลายสายพันธุ์เดียวกันนี้ ที่พัฒนาให้ออกดอกไปได้จนถึงฤดูใบไม้ร่วง ยืนยันกันว่า มีคุณสมบัติเหมือนกับพันธุ์ฤดูร้อนทุกประการ  กระบวนการกลั่นอย่างพิถีพิถันที่ทำกันมาในบัลเกเรียตั้งแต่อดีต  ประกอบด้วยการกลั่นสองขั้นตอนตามด้วยกระบวนการแช่เย็นทันที  วิธีการนี้ทำให้สกัดน้ำมันกุหลาบจากน้ำกุหลาบเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่า 




          กุหลาบสายพันธุ์ damascena นี้ถือว่าเป็นพันธุ์โบราณและมีตำแหน่งสำคัญในตระกูลกุหลาบอีกหลายชนิด  การวิจัยทาง DNA ได้พบว่าสายพันธุ์ damascena อาจพัฒนาพันธุ์ขึ้นมาในแถบเนินเขาในเอเชียกลาง มิใช่ในตะวันออกกลางตามที่เชื่อกันมา ดังที่เห็นได้จากชื่อกุหลาบสายพันธุ์นี้ที่เรียกกันต่อๆมาว่า rosa damascena ที่โยงไปถึงชื่อเมือง Damascus (ในประเทศซีเรียปัจจุบัน)  เอกสารที่เหลือมาระบุเพียงว่ามีผู้พิพากษาชาวตุรกีคนหนึ่งนำเข้ามาจากตูนีเซียและปลูกในสวนส่วนตัวของเขา และต่อมาแพร่หลายไปทั่ว ส่วนเมือง Kazanlak นั้นสถาปนาขึ้นในราวปี 1420 นักประวัติศาสตร์ต่างเห็นพ้องกันว่ากุหลาบสายพันธุ์นี้ก็น่าจะเริ่มปลูกกันแล้วในยุคนั้น  แหล่งผลิตดอกกุหลาบสายพันธุ์นี้แหล่งใหญ่ที่สุดอยู่ในบัลเกเรียและตุรกี  แต่ก็มีประเทศอื่นๆที่ปลูกกุหลาบสายพันธุ์นี้เพื่อส่งออกสู่ตลาดโลก เช่นมอร็อกโค ตูนีเซีย และประเทศในตะวันออกกลางและอินเดีย แต่ผลผลิตรวมกันยังจัดว่าน้อย   บัลเกเรียจึงยังคงเป็นแหล่งป้อนน้ำมันดอกกุหลาบที่สำคัญที่สุดให้แก่นักผลิตน้ำหอมทั้งหลายของโลก โดยเฉพาะให้กับนักสร้างสรรค์น้ำหอมชาวฝรั่งเศส  เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า น้ำมันดอกกุหลาบจากบัลเกเรียนั้นมีคุณสมบัติดีเลิศ และเป็นวัตถุดิบที่สำคัญยิ่งในกระบวนการผลิตน้ำหอม  น้ำมันกุหลาบที่บัลเกเรียส่งออกจำหน่ายไปทั่วโลกนั้น มีนามเจาะจงว่า Bulgarian Rose Oil และ Bulgarian Rose Otto 
          การสกัดน้ำมันดอกกุหลาบดูเหมือนว่าเริ่มทำกันในตอนใต้ของประเทศจีน ชาวเติร์กอ็อตโตมันเป็นผู้นำเข้าสู่ประเทศบัลเกเรีย  อุตสาหกรรมการผลิตน้ำมันกุหลาบตามหลักฐานลายลักษณ์ที่มีนั้น เริ่มอย่างจริงจังในปี 1650 และมีหลักฐานของบริษัทฝรั่งเศสแห่งหนึ่ง ได้ไปเหมาซื้อน้ำมันกุหลาบนำส่งกลับไปที่ประเทศฝรั่งเศสเป็นครั้งแรกในปี 1740 และมีหลักฐานทางการที่บันทึกการส่งออกน้ำมันกุหลาบระหว่างประเทศบัลเกเรียกับประเทศเยอเมนิก (Austro-Hungary & Germany) ในปี 1771 หลักฐานดังกล่าวมีแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์ดอกกุหลาบ (Museum of The Rose, เมือง Kazanlak ประเทศบัลเกเรีย)
           ชื่อเสียงของกุหลาบสายพันธุ์นี้อยู่ที่กลิ่นหอมที่ละเอียดประณีต คนจึงปลูกพันธุ์นี้เพื่อเก็บดอกมาสกัดความหอม มาผลิตน้ำมันดอกกุหลาบ (ที่เรียกว่า rose oil หรือ rose otto หรือ rose absolute)  ที่นักผลิตน้ำหอมต้องการเพื่อนำไปปรุงไปผสมในการสร้างสรรค์น้ำหอมแบรนด์ต่างๆ  ลำพังน้ำมันกุหลาบบริสุทธิ์นั้น กลิ่นรุนแรงเกินไป จึงต้องนำไปผสมผสานกับหัวน้ำหอมอื่นๆสร้างเป็นกลิ่นที่ประทับใจและทนนานกว่า   น้ำหอมเกือบทุกชนิดมีส่วนผสมของน้ำมันกุหลาบเสมอ ที่ให้ความหอมหวานและทำให้ความหอมทนนานมาก (เหมือนไวน์ที่มีหางยาว แม้เมื่อดื่มผ่านลำคอไปแล้ว ความหอมและรสไวน์ยังอ้อยอิ่งอยู่ในปากในประสาทสัมผัส ไวน์ที่มีหางยาวนับเป็นไวน์คุณภาพเลิศ  เช่นกันความหอมหวานของน้ำมันกุหลาบยืนหยัดทิ้งเป็นหางยาวกว่าน้ำมันหอมอื่นใด) 
           นอกจากการสกัดหัวน้ำหอมแล้ว ดอกกุหลาบยังนำไปผลิต น้ำกุหลาบ (rose water) และ คอนกรีตกุหลาบ (rose concrete ที่ได้จากการสกัดเย็นด้วยการใช้ hexane เป็นตัวช่วยดึงสารหอมออกจากดอกไม้  คอนกรีตกุหลาบ เป็นสารข้นแบบขี้ผึ้งเกือบแข็ง สีแดงๆส้มๆ กลิ่นหอม ใช้ผสมในการผลิตเครื่องสำอาง เครื่องประทินผิวและเครื่องหอมแบบต่างๆ  เป็นสารหอมแบบ “แข็ง”ที่นิยมกันมากในโลก)  
           กลีบดอกกุหลาบยังรับประทานได้ อาจนำไปคลุกกับอาหารทำให้อาหารมีสี รสและกลิ่นที่เชิญชวนยิ่งขึ้น  หรือนำกลีบกุหลาบไปชุบแป้งทอด(แบบเท็มปุระ) เป็นเครื่องเคียงอาหารจานหลักได้  และนำไปชงในน้ำร้อนเป็นน้ำชาสมุนไพรกลิ่นดอกกุหลาบ  หรือเด็ดเฉพาะใบกุหลาบสดๆวางซ้อนๆกันลงในกระปุกปากกว้างโรยน้ำตาลให้พอเหมาะ ปิดกระปุกให้แน่น นำออกไปตากแดดวันละหกชั่วโมงตลอด 3-4 อาทิตย์ ระหว่างนี้ใช้ช้อนไม้คนหรือพลิกกลีบดอกทุกวันเว้นวัน  จะได้แยมดอกกุหลาบที่ชาวอินเดียทำกินกันมาตามที่ปรากฏระบุไว้ในอายุรเวช   ชาวอินเดียเรียกแยมกุหลาบว่า gulkand เป็นอาหารที่ช่วยลดความร้อนในร่างกาย  ทั้งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงอย่างหนึ่ง  ในยุโรปยุคกลาง นักบวชปลูกต้นกุหลาบไว้ในบริเวณวัดและอารามด้วยเสมอ และนำไปใช้เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง  
 ภาพขนม “นูกา” – nougat ที่ทำจากกลีบดอกกุหลาบ damascena และpistachio

หรือ “นูกา” ใส่ผลไม้ cranberry และกุหลาบ

คนจึงใช้ดอกกุหลาบในการปรุงแต่งอาหารมานานแล้ว   เครื่องเทศของชาวมอร็อกโคที่ชื่อว่า ras el hanout ก็มีส่วนผสมของดอกกุหลาบ damascena ปนอยู่ด้วย  เราอาจเคยสังเกตว่าขนมและอาหารของชนชาติตะวันออกกลางนั้น มักมีกลิ่นพิเศษผิดจากกลิ่นอาหารที่เราคุ้นๆเช่นอาหารฝรั่ง อาหารอิตาเลียนหรือาหารจีน ไทยเป็นต้น  พวกเขาใช้เครื่องเทศหลากหลายชนิดมากกว่า (อาจใช้พอๆกันหรือมากกว่าอาหารไทย)   น้ำดอกกุหลาบ หรือผงดอกกุหลาบเป็นองค์ประกอบสำคัญในการประกอบอาหารของชาวเปอเชีย อินเดียและชาวตะวันออกกลาง  เช่นเขาฉีดละอองน้ำกุหลาบลงบนอาหารเนื้อ หรือผสมผงกุหลาบในการทำซอสของพวกเขา ไก่อบกุหลาบเป็นอาหารยอดนิยมจานหนึ่งในเปอเชีย  หรือผสมในขนมพื้นเมืองเช่น marzipan (ทำจากอัลมอนด์) หรือ turrón (ขนมสเปนทำจากอัลมอนด์ นัทต่างๆ น้ำผึ้งฯลฯ)  และแน่นอนตามยุคสมัยมีไอสครีมกุหลาบ (เหมือนที่เคยชิมไอสครีมวิสทีเรียที่แสนอร่อยหอมหวานในญี่ปุ่น)  โยเกิร์ตกุหลาบ หรือ rice pudding ผสมกลีบกุหลาบ เป็นต้น  ปัจจุบันคนเริ่มหันมากิน “ดอกไม้” กันมากขึ้นๆ เพราะเข้าใจถึงคุณค่าทางโภชนาการของดอกไม้ชนิดต่างๆ     
           ความสำคัญของดอกกุหลาบในฐานะของดอกไม้เศรษฐกิจที่นำรายได้แก่ประเทศสูงสุด ทำให้มีการจัดเทศกาลดอกกุหลาบขึ้นเป็นประจำทุกปี (Rose Celebration) เพื่อขอบคุณดอกไม้และทุกสิ่งที่เกี่ยวกับดอกไม้นี้ ทั้งในแง่กายภาพและในแง่จิตวิญญาณ (จะได้กล่าวต่อไปข้างล่างนี้)  เทศกาลดอกกุหลาบเริ่มขึ้นครั้งแรกในปี 1903 ที่เมือง Kazanlak และได้กลายเป็นประเพณีที่ทำติดต่อกันมาตั้งแต่นั้น  ในปัจจุบันเทศกาลดอกกุหลาบกำหนดไว้ที่เสาร์-อาทิตย์แรกของเดือนมิถุนายน และกลายเป็นโอกาสของประเทศที่รวมการแสดงหลากหลายแนวคติชนวิทยา และแน่นอนรวมถึงการแสดงเกี่ยวกับการเก็บดอกกุหลาบ การต้มการกลั่นดอกกุหลาบ การแสดงขบวนพาเรดของเด็กๆและสาวๆในชุดที่ประดับประดาด้วยดอกกุหลาบ (หญิงสาวชาวบัลเกเรีย มีผิวพันธุ์ขาว ใส ใบหน้าแจ่มอยู่แล้ว จึงดูงดงามตรึงใจไม่แพ้ดอกกุหลาบเลยทีเดียว)  และการเลือกนางงามดอกกุหลาบด้วย (Rose Queen) เป็นสีสันและความสุขของชาวเมืองอย่างแท้จริง มีชาวเมืองอื่นๆไปร่วมด้วยและนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกจำนวนมาก
เชิญชมภาพสาวๆดอกกุหลาบชาวบัลเกเรีย... ภาพจากเว็ป bulgariatravel.org




ความสำคัญของดอกกุหลาบสำหรับบัลเกเรีย ทำให้มีการตั้งพิพิธภัณฑ์ดอกกุหลาบขึ้นที่เมือง Kazanlak  ประเทศบัลเกเรียอ้างว่าเป็นพิพิธภัณฑ์กุหลาบแห่งเดียวในโลกที่นำเสนอเรื่องการสกัดน้ำมันหอมดอกกุหลาบ พิพิธภัณฑ์ดอกกุหลาบตั้งอยู่ภายในอาคารของสถาบันวิจัยกุหลาบ (Rose Institute) และเป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ – Historical Museum Iskra  พิพิธภัณฑ์ดอกกุหลาบเริ่มขึ้นจากนิทรรศการการเก็บการสกัดน้ำมันกุหลาบที่จัดขึ้นในปี 1967 ปรากฏว่ามีผู้สนใจมาก ในที่สุดนิทรรศการได้ขยายวงออกไปอีกในปี 1969 แต่พิพิธภัณฑ์ได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการในปี 1984  ปัจจุบันมีวัตถุแสดงรวมกันถึง 15,000 ชิ้น  รวมเอกสาร ภาพถ่ายในสมัยก่อนที่เกี่ยวกับการปลูก การเก็บ การใช้ดอกกุหลาบ  และเครื่องมือเครื่องใช้ในการสกัดน้ำมันกุหลาบ น้ำกุหลาบ หรือผลิตภัณฑ์จากดอกกุหลาบแบบอื่นๆ  ภาชนะที่เคยใช้บรรจุดอกกุหลาบในสมัยก่อนๆนั้นยังอบอวลด้วยกลิ่นหอมกุหลาบจนถึงทุกวันนี้  ซึ่งยืนยันว่าทำไมน้ำหอมชื่อดังทั้งหลายจึงมีส่วนผสมของน้ำมันกุหลาบด้วยเสมอ เพราะมันช่วยให้น้ำหอมนั้นมีกลิ่นทนนานมากขึ้น  อีกศูนย์หนึ่งที่น่าสนใจคือ Kulata Ethnographic Complex ที่อยู่ห่างจากกลางเมือง Kazanlak เพียงหนึ่งกิโลเมตร ที่นั่นอาจเข้าชมกระบวนการทำงานทุกขั้นตอนตามที่เป็นจริงเมื่อเก็บเกี่ยวดอกกุหลาบมาจากทุ่งแล้ว  และยังมีโอกาสชิมอาหารและเครื่องดื่มที่ทำจากดอกกุหลาบแห่ง Kazanlak ด้วย
 อาคารสถาบันดอกกุหลาบ





ที่ร้านขายผลิตภัณฑ์ดอกกุหลาบแห่งหนึ่ง มีมุมบริการให้ชิมน้ำกุหลาบฟรี
และมีภาพเก่าๆแสดงการกระบวนการผลิตน้ำมันดอกกุหลาบ





            ในวิสัยทัศน์ของชาวตะวันตกที่สืบทอดมาและที่เกี่ยวเนื่องกับคริสต์ศาสนาทั้งนิกาย Orthodox หรือนิกายโรมันคาทอลิก  ดอกกุหลาบเป็นดอกไม้สูง เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของพระแม่มารี กุหลาบราชินีแห่งมวลดอกไม้ ดั่งพระแม่มารี ผู้เป็นราชินีบนโลกและในสวรรค์.  ในศตวรรษที่ 12 กุหลาบแดงยังหมายถึง การตายของพระเยซูบนไม้กางเขน และแทนเลือดที่หลั่งไหลของผู้ยอมสังเวยชีวิตเพื่อศาสนา (martyr).  นักบุญ Saint Ambrose (337-397) เชื่อว่าในสวนสวรรค์อีเด็นมีต้นกุหลาบ ดอกกุหลาบในสวรรค์ไม่มีหนาม แต่เมื่อมาปรากฏบนโลกจึงมีหนาม เพื่อเตือนให้ระลึกถึงบาปกำเนิด และกล่าวเทียบว่าพระแม่มารีเป็นดอกกุหลาบที่ไม่มีหนามเพราะเป็นพรหมจรรย์ (Immaculate Conception).  นักบุญแบร์นาร์ด (Saint Berbard, 1090-1153) ก็เปรียบพระแม่มารีผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องว่าเป็นดอกกุหลาบสีขาว และเปรียบความเมตตากรุณาของพระนางเหมือนดอกกุหลาบสีแดง  
            กุหลาบยังเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ดั่งความรักของพระแม่มารีที่มีต่อพระบุตรและอุทิศกายและใจต่อพระเจ้า รวมทั้งเป็นผู้มีเมตตาธรรมสูง คริสต์ศาสนาได้บรรจงปลูกฝังค่านิยมในพระแม่มารีในฐานะผู้ช่วยชาวโลกผู้ตกทุกข์ได้ยาก และแม้คนบาปทั้งหลาย หากกลับตัวกลับใจ พระนางก็จะช่วยทูลขอพระเจ้าให้ยกโทษแก่คนนั้น  เนื่องจากพระนางได้อุ้มท้องและให้กำเนิดพระเยซูบนโลกนี้ ได้เจ็บปวด ตั้งครรภ์และคลอด พระนางจึงเหมือน “มีสิทธิ์” ทูลขอความกรุณาจากพระเยซูคริสต์ได้  ดอกกุหลาบยังโยงไปถึงความเปราะบางของชีวิตและโดยปริยายถึงความตาย
            ความเชื่อความศรัทธาในพระแม่มารี (Mariology เป็นเทวศาสตร์แขนงหนึ่งที่ศึกษาจุดยืนของพระแม่มารีในฐานะที่เป็นพระมารดาของพระเยซูคริสต์ และในกระบวนการไถ่บาปให้แก่มนุษยชาติ) เริ่มชัดเจนมากขึ้นๆในยุคกลางอันเป็นยุคสมัยศักดินา ยุคนั้นอัศวินต่างต้องมีนางในดวงใจและในอุดมการณ์ ที่ผลักดันอัศวินให้ต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีและปกป้องคุณธรรมที่ค้ำจุนโลก  พระแม่มารีจึงเหมือนเข้าไปแทนที่สตรีในดวงใจและในอุดมการณ์ของอัศวิน  ระบบศักดินาค่อยๆเสื่อมลง เมื่อคริสต์ศาสนามั่นคงขึ้น ความเชื่อและศรัทธาในพระแม่มารีจึงยิ่งทวีขึ้นและไม่เสื่อมคลายลงไปจนถึงทุกวันนี้ 
            ศตวรรษที่ 12 ภาพลักษณ์ของดอกกุหลาบจึงโดดเด่นในวงการศาสนา ตามด้วยศตวรรษที่ 13 จนถึงศตวรรษที่ 15 ที่เป็นยุคของการสร้างโบสถ์ขนาดใหญ่ๆ วัดและอารามนักบวชอีกจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วไปในยุโรป และโดยเฉพาะในสถาปัตยกรรมกอติคในฝรั่งเศสที่ได้สร้างสรรค์หน้าต่างดอกกุหลาบขึ้น (rose window) เป็นหน้าต่างกระจกสีมีจิตรกรรมประดับเล่าเรื่องราวของพระแม่มารี สรรเสริญคุณธรรมของพระนาง หรือรวมภาพลักษณ์ สัญลักษณ์ต่างๆที่โยงไปถึงพระนาง  หน้าต่างกระจกสีๆเป็นดอกกุหลาบและรูปทรงกลมขนาดใหญ่- rose window มักประดับเหนือกำแพงที่เป็น “แขน” ของโบสถ์ หรือบางทีก็อยู่เหนือกำแพงด้านหน้าคือด้านทิศตะวันตกของโบสถ์ 
          ในศตวรรษที่ 13 เชื่อกันว่า นักบุญโดมินิก (Saint Dominic, 1170-1221) เป็นผู้ริเริ่มการจัดบทสวดสรรเสริญพระแม่มารีโดยเฉพาะที่รู้จักกันว่า Rosary (จากคำในภาษาละตินว่า rosarium ที่แปลว่า มงกุฎดอกกุหลาบ หรือ มาลัยดอกกุหลาบ) เป็นสร้อยลูกประคำที่คนสวดนับไปด้วยจากเม็ดหนึ่งไปเม็ดหนึ่ง ให้แทนพวงมาลัยดอกกุหลาบที่พระแม่มารีสวมรอบคอในสวรรค์  บทสวดที่นักบุญดอมินิกสถาปนาขึ้นนี้ถือกันว่าเป็นหลักและหัวใจของนิกายโดมินิกเลยทีเดียว(Dominican)  หลายคนเชื่อในปาฏิหาริย์ของการสวดพร้อมสร้อยลูกประคำนี้  บทสวดต่อมารวมถึงการรำลึกถึงชีวิตและความลึกลับต่างๆของพระเยซูคริสต์ด้วย (Rosary prayers) 
           ในวรรณกรรมของ Dante [ดั๊นเต้] เรื่อง La Divina Commedia (หรือ The Divine Comedy แต่งขึ้นระหว่างปี 1308-1320 ที่ได้ชื่อว่าเป็นวรรณกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเล่มหนึ่งของมนุษยชาติ) เมื่อกวีไปถึงแดนสวรรค์ชั้นที่ 9 (Empireo) ได้เห็นแสงสว่างอันบรรเจิดที่มองดูคล้ายดอกกุหลาบสีขาวดอกมหึมา (Rosa dei Beati) มีพระแม่มารีประทับตรงใจกลางดอกไม้ แวดล้อมไปด้วยเหล่านักบุญและคนดีทั้งหลาย  ดอกกุหลาบในวรรณกรรมนั้นแทนความรักของพระเจ้า  กวีได้ให้เป็นภาพลักษณ์ที่เรียบง่ายที่สุดของสวรรค์ ของความบรรเจิดอันพิสุทธิ์ในสวรรค์ (ผู้สนใจเรื่องนรกและสวรรค์ตามที่พรรณนาไว้ในวรรณกรรมเรื่องนี้ อาจไปอ่านเพิ่มได้ที่ http://www.chotirosk.blogspot.com/2014/09/hell-and-heavens-in-dantes-la-divina.html  นับว่ากวี Dante มีส่วนกระชับจิตสำนึกและค่านิยมเกี่ยวกับดอกกุหลาบกับพระแม่มารีด้วยอย่างมาก  ดอกกุหลาบยังนำไปโยงถึงนักบุญคนอื่นๆด้วยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้หญิง  และยังมิได้คลายความสำคัญหรือมีนัยยะลุ่มลึกน้อยลงไปแต่อย่างใดในปัจจุบัน  เห็นได้จากวรรณกรรมทั้งหลายในยุคปัจจุบันที่ยังสืบค่านิยมต่อมาอีก เรื่องหนึ่งที่เห็นชัดๆคือ The Name of the Rose ของ Umberto Eco (1986)  หรือในบทกวี เพลงต่างๆ  กุหลาบเป็นดอกไม้ที่ปรากฏในงานแต่ง งานเขียนทุกรูปแบบมากกว่าดอกไม้ชนิดใด  เรายังจำได้และคุ้นเคยกับเพลง Oh my love is a red red rose (หรือชื่อสั้นๆว่า A Red, Red Rose ของ Robert Burns (1794) โคลงอีกจำนวนมากที่เราเคยเรียนเคยจำได้กันในวัยสาว หรือเพลงอมตะ La Vie en rose ของ Edith Piaf (1945. คำร้องของเธอเองและทำนองเพลงของ Louiguy และ Marguerite Monnot) หรือเพลง The Rose ของ Bette Midler (1979)  หรือชื่อเพลงและเนื้อร้องที่น่าคิดหรือผิดธรรมดาใน The Rose that grew from concrete ของ Shakur, Tupac &co.(1999)  และอีกจำนวนมาก ทั้งหมดยังรักษานัยยะของดอกกุหลาบไว้ตลอดมา
           องค์การศาสนาได้เพียรปลูกฝังค่านิยมต่างๆที่โยงไปเป็นคุณสมบัติอันประเสริฐของพระแม่มารีจนกลายเป็นวิสัยทัศน์ที่มั่นคงถาวรในจิตวิญญาณตะวันตก  ระบบสัญลักษณ์ที่โยงไปถึงพระแม่มารีก็ยังเป็นภูมิหลังของศิลปวัฒนธรรมตะวันตก ที่ทำให้เข้าใจภาษา วรรณกรรม หรือบริบทตะวันตกแบบใดมิติใดได้อย่างกว้าง ไกลและลึก (ไม่ว่าคนยุคปัจจุบันจะเชื่อศาสนาหรือไม่ก็ตาม)
            ชาวบัลเกเรียเท่าที่ได้ไปสัมผัสมา ดูจะมีความเคร่งศาสนาพอสมควร แน่นอนในรุ่นสูงอายุยิ่งเห็นชัดเจน  การไปวัดเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและของการสมาคม  ปาฏิหาริย์จะมีหรือไม่จากสิ่งที่พวกเขาเชื่อ ไม่สำคัญอะไรนักแล้ว  สำคัญอยู่ที่การปฏิบัติตามประเพณีจนกลายเป็นความเคยชิน และจากความเคยชินกลายเป็นนิสัยที่ในที่สุดห่อหุ้มให้ความอบอุ่นและสำนึกที่สงบแก่พวกเขา.
ขอจบด้วยภาพที่มีผู้ถ่ายให้ในมุมหนึ่งของร้านผลิตภัณฑ์ดอกกุหลาบที่เมือง Kazanlak เป็นความทรงจำที่หอมหวน เพราะตั้งแต่เด็กเคยใช้นามปากกาว่า Rose Kolt เขียนนั่นเขียนนี้ตามประสา แต่อาจต้องเจาะจงว่า ชื่อนี้เน้นหนามกุหลาบมากกว่าส่วนใด เนื่องจากความตรงไปตรงมาที่มักทิ่มแทง...

บันทึกเดินทางของโชติรส โกวิทวัฒนพงศ์...
เมื่อไปเยือนถิ่น Kazanlak วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘...

คลิปหุบเขาแห่งดอกกุหลาบจากยูธู้ป ที่นี่ >>
https://www.youtube.com/watch?v=yjitVxPGzBo
สนใจอยากรู้เรื่องอื่นๆ เชิญเข้าไปเลือกอ่านได้ที่นี่ >>     
http://chotirosk.blogspot.com/2016/01/link-to-my-two-blogs.html

5 comments:

  1. มีปัญหาตัวอักษรทั้งหลาย ที่ผู้ทำไม่รู้จะควบคุมได้อย่างไร เพราะมิได้เป็นแบบหรือขนาดอักษรตามที่เขียนไว้ในต้นฉบับ
    ใครรู้วิธีช่วยบอกที ได้พยายามหลายครั้ง
    ทุกอย่างที่ปรากฏในเว็ปในบล็อก จึงเป็นแบบฟลุก ได้อย่างไรก็อย่างนั้น
    ขออภัยใน "ความไม่งาม" ... โชติรส

    ReplyDelete
  2. วรรณกรรมยุคกลางเล่มที่สำคัญที่สุดเล่มหนึ่งในโลกตะวันตก ชื่อ Roman de la Rose เนื้อหาผนึกความหมายเต็มพิกัดทางโลก พร้อมๆกับการโยงไปถึงทางธรรม เป็นหนึ่งในหนังสือต้องอ่านของปัญญาชนตะวันตก ดอกกุหลาบที่เป็นทั้งดอกไม้ในสวนของสตรีในเรื่อง เป็นชื่อเรียกสตรีในเรื่องด้วยก็ได้เช่นกัน อีกทั้งเป็นสัญลักษณ์ของเพศสัมพันธ์ หนังสือจึงเต็มไปด้วยบทอุปมาอุปมัย ที่จักกลายเป็นวิธีการเรียบเรียง การเขียนในการเรียนการสอนในตะวันตกและโดยเฉพาะในฝรั่งเศสต่อมาจนถึงทุกวันนี้

    ReplyDelete
  3. AnonymousJune 14, 2015

    Beautifully written article - just like the subject itself. I had always wondered how its fragrance could be extracted into an oil form. You described the process very well in your article. Now I know how it's done! I also like the part on using petals as ingredients in various dishes. I remember years ago, a fresh pansy flower was placed on the fish dish I was served. At first I thought it was just for décor purpose but then was told that it was supposed to be eaten along with the fish. And I did. The pansy did not have much taste but gave an interesting texture to the meal. Thanks Cho for sharing your knowledge with all your friends. Your contribution to our group is really a treasure. Paew

    ReplyDelete
  4. ชอบกลิ่นกุหลาบมาก เพิ่งได้รู้กรรมวิธีการกลั่นและการเก็บ
    เราคงแค่เอากลีบกุหลาบมอญมาลอยอบทำน้ำดอกกุหลาบ แบบบ้านๆ
    แค่นี้ก็หอมแล้ว อยากไปเที่ยวที่นี่จัง ขอบคุณโชจ้ะ
    เป้า

    ReplyDelete
  5. นอกจากน้ำมันดอกกุหลาบ เดี่ยวนี้บัลเกเรียกลายเป็นประเทศผู้ผลิตลาเวนเดอ อันดับหนึ่งของโลกด้วย เกินหน้าฝรั่งเศสที่ครองแชมป์มานาน ตั้งแต่เจ็ดปีที่แล้ว มีชาวนาหัวใสเปลี่ยนทุ่งปลูกข้าวสาลีม่เป็นทุ่งปลูกวาเวนเดอ ที่ดินและอากาศอำนวยอย่างยิ่ง สองสามปีต่อมาเขาเห็นผลดียิ่ง เขาขายลาเวนเดอได้ราคา 90 euros ต่อกิโลกรัม สูงเป็น10 เท่าของที่เขาเคยได้จากการขายข้าวสาลี ตั้งแต่นั้น ชาวนาหันมาปลูกลาเวนเดอแทน. 80% ของน้ำมันระเหยจากลาเวนเดอขายให้ฝรั่งเศส ฝรั่งเศสยอมรับว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานดีมากและราคาถูกกว่าที่ผลิตได้ในฝรั่งเศสเองเกือบ 20% การเก็บลาเวนเดอที่บัลเกเรียใช้แรงงานคนทั้งหมด เพราะพื้นดินมีก้อนหินใหญ่ปนทำให้เอารถแทร็กเตอเข้าไม่ได้ คนงานให้สัมภาษณ์ว่า เขามีรายได้สูงขึ้นเป็นสองเท่าจากการเกี่ยวบาเวนเดอมากว่าการเกี่ยวข้าวสาลี

    ReplyDelete