หินเป็นวัสดุที่ใช้ในการเนรมิตสิ่งประดับเหนือหลุมศพมากกว่าวัสดุอื่นใด นิยมใช้หินทราย หินปูน หรือหินอ่อน ฝีมือการแกะสลักหินได้พัฒนาขึ้นสูงสุดแล้วในอารยธรรมกรีกและโรมัน หินประดับหลุมฝังศพ(stèle funéraire หรือ tombstone) ปกติเป็นหินขนาดใหญ่ก้อนเดี่ยวๆ(monolith) แบบเรียบๆคือตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดใหญ่กว่าความกว้างยาวของหลุมศพ เพื่อใช้วางปิดบนดินที่กลบแน่นเหนือหลุมศพนั้น มีจำหลักชื่อ วันเดือนปีเกิดและปีตายของบุคคลในหลุมนั้น ต่อมามีการเจาะจงอาชีพ ประวัติหรือผลงานในชีวิต อาจมีคำจารึกที่เป็นข้อคิด ปรัชญา คำพูดหรืออุดมการณ์ของผู้ตาย หรือคำสอนจากศาสนา ความดีหรือผลงาน เติมแต่งบนแผ่นหินนั้น
ภาพจากสุสานยิวที่เมืองฮัมบูร์ก (Jüdischer Friedhof Altona) ที่ตั้งอยู่ด้านหลังของศูนย์ Eduard Duckesz Haus (บนถนนเคอนิกฉตร๊าสะ - Königstrasse 10a เมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี) แผ่นหินปิดคลุมหลุมศพแต่ละหลุม สุสานยิวบนถนนสายนี้ในเมืองฮัมบูร์ก มิได้เป็นเพียงสุสานยิวที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองฮัมบูร์ก ยังถือกันว่าเป็นอนุสาวรีย์วัฒนธรรมที่เด่นที่สุดในฮัมบูร์กและในเยอรมนีภาคเหนือ ทั้งนี้เพราะวิธีการประดับแผ่นหินเป็นเอกลักษณ์พิเศษที่รวมบทจารึกไว้อาลัยผู้ตายที่ประดับไว้เป็นภาษาปอรตุเกสบ้าง ภาษาฮีบรูบ้างนั้นสวยงามเป็นพิเศษเช่นกัน ที่เป็นพยานหลักฐานแสดงฝีมือนายช่างจำหลักหิน
หลุมศพที่ฝังอยู่ใต้พื้นของวัดหรือโบสถ์ขนาดใหญ่ๆในยุโรป ส่วนใหญ่เป็นของอภิสิทธิ์ชนเช่นกษัตริย์ ราชวงศ์ชั้นสูง ขุนนางชั้นสูงหรือเจ้าอาวาสขั้นอาวุโสของวัดเท่านั้น แผ่นหินที่ปิดเหนือหลุมศพจะเป็นแผ่นหินปูพื้นวัดนั้นไปด้วย การฝังใต้พื้นวัดหรือโบสถ์ใหญ่ๆนั้น อาจฝังอยู่ใต้พื้นของวัดชั้นล่าง (crypt) หรือใต้พื้นในวัดชั้นบน (บางทีใต้หลังคาหากมีพื้นที่เหลือก็กลายเป็นที่เก็บอัฐิอังคารด้วย เรียกว่า ossuary เพราะพื้นที่ฝังศพไม่เพียงพอ จึงมีการขุดศพเก่าๆขึ้นมา เก็บเอากระดูกมาชำระล้างแล้วนำไปเก็บในที่เก็บกระดูก) เพราะฉะนั้นเมื่อเดินเข้าไปในวัดใหญ่ๆที่สร้างมาตั้งแต่ยุคกลาง จึงเหมือนกำลังเดินไปบนหลุมศพของคนจำนวนไม่น้อย เดินไปบนแผ่นหินจารึกประวัติของบุคคลที่ฝังอยู่ใต้พื้นตรงนั้น ที่ปูต่อๆกันเป็นพื้นวัด จากแบบที่มีคำจารึกเรียบง่าย เป็นแบบที่มีประติมากรรมจำหลักนูนประดับเต็มทั้งแผ่น บ้างยังให้จำหลักภาพเหมือนของผู้ตายบนแผ่นหินที่ครอบเหนือหลุมศพนั้น ผู้คนเดินเหยียบไปมาบนพื้นวันแล้ววันเล่า จึงทำให้แผ่นหินสึกกร่อน คำจารึกที่เคยมีบนแผ่นหินก็สึกกร่อนเลือนลางไปตามกาลเวลา บางวัดจัดกั้นพื้นที่โดยรอบแผ่นหินจารึกขนาดใหญ่บางแผ่น เพื่อมิให้คนเดินเหยียบแผ่นนั้น ในขณะเดียวกันก็ดึงความสนใจให้หยุดดู หยุดอ่านหรือหยุดคิด
เป็นธรรมดาที่ชาวคริสต์ต่างต้องการให้ศพของตนอยู่ใกล้พระเจ้ามากที่สุด ในเมื่อวัดคือบ้านของพระเจ้า จึงอยากให้ร่างกายของพวกเขาไปอยู่ในสายตาของพระเจ้ามากที่สุด เป็นความอบอุ่นใจว่าจะไม่ถูกลืม เช่นนี้ตั้งแต่ต้นคริสตกาล จึงมีการแบ่งอวัยวะส่วนต่างๆโดยเฉพาะของกษัตริย์ ไปฝังในวัดหลายๆแห่ง เพิ่มโอกาสที่จะเข้าถึงพระเจ้ามากยิ่งขึ้น
แผ่นหินประดับหลุมศพที่เป็นส่วนหนึ่งของพื้นอาคารกัมโปะซานโตะที่เมืองปิซา
ประเทศอิตาลี (Campo Santo, Pisa) ทั้งรูปลักษณ์และข้อความจำหลักลงบนแผ่นหินเป็นประติมากรรมนูนต่ำ เป็นตัวอย่างอีกแบบหนึ่งของแผ่นหินประดับหลุมศพ
ตัวอย่างแผ่นหินเหนือหลุมฝังศพที่ฝังอยู่ใต้พื้นภายในโบสถ์ใหญ่
ที่เมืองรอสกิลด์ ประเทศเดนมาร์ก (Roskilde) แผ่นหินจำหลักภาพเหมือนของพระราชวงศ์ชายหญิงคู่หนึ่ง โบสถ์เมืองนี้สร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 12และ 13 ใช้เป็นที่ฝังศพของกษัตริย์และพระราชวงศ์เดนมาร์กตั้งแต่ศตวรรษที่15 ภายในโบสถ์จึงต้องปรับเปลี่ยนและขยายพื้นที่ภายในเสมอมา
เพราะเมื่อมีการตั้งโลงศพขนาดใหญ่ๆที่วิจิตรพิสดารของกษัตริย์องค์ต่างๆ ก็มักสร้างให้มีที่ตั้งของแท่นบูชาเข้าไปด้วย
ทำให้วัดสามารถใช้แท่นบูชาเฉพาะนี้ประกอบพิธีศาสนาได้ (เรียกว่าวัดเล็กภายในโบสถ์ และใช้คำ chapel ในภาษาอังกฤษ) บางทีสร้างเป็นส่วนขยายประกบติดเข้ากับกำแพงโบสถ์ด้านใดด้านหนึ่งเลย
หรือ ตั้งเป็นอาคารย่อยอีกอาคารหนึ่งภายนอกโบสถ์
โดยปริยายโบสถ์รอสกิลด์จึงเป็นที่รวมความทรงจำเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์เกือบทุกพระองค์ของเดนมาร์ก ความสำคัญด้านประวัติศาสตร์ดังกล่าว
ทำให้โบสถ์นี้ได้ขึ้นเป็นมรดกโลกแห่งหนึ่งในปี 1995 และ ตั้งแต่ปี 1987
โบสถ์ได้เป็นศูนย์ของวงนักร้องเด็กผู้ชาย(Roskilde Cathedral Boy’s Choir) การจัดตั้งวงนักร้องเด็กผู้ชายนี้เป็นกุญแจสำคัญของทางการศาสนาเพื่อผลักดันเยาวชนของชาติไปในทางที่ดี
เด็กในวงนักร้องของโบสถ์นั้นเรียนหนังสือตามปกติ
แต่พบกันสัปดาห์ละสองถึงสามครั้งเพื่อซ้อมร้องเพลง ทุกสองปีคณะนักร้องวงนี้จะเดินทางไปแสดงต่างประเทศเช่นไปอังกฤษ
ฝรั่งเศส แคนาดา ประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวีย กรีนแลนด์เป็นต้น
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯได้เคยเสด็จไปเยือนโบสถ์นี้
และต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้า ก็ได้เสด็จไปที่นั่น รวมทั้งสมเด็จพระเทพฯ ภายในลำตัวโบสถ์ด้านขวา(ใน Chapel of the Magi ที่เป็นที่ประดิษฐานพระบรมศพของพระเจ้าคริสเตียนที่หนึ่ง) มีเสาๆหนึ่งที่มีรอยขีดยาวสลักลงเป็นเส้นขวางบนเสาหินและทาด้วยสีแดงเพื่อให้เห็นชัดเจน แต่ละขีดมีชื่อกำกับไว้ด้วย
แต่ละขีดบอกความสูงของบุคคลแต่ละคน
ที่นั่นจึงได้จารึกส่วนสูงของรัชกาลที่ห้า
รัชกาลที่เก้าและของสมเด็จพระเทพฯ ด้วยเสาใหญ่เสาหนึ่งที่มีรอยขีดขวางสีแดงจารึกส่วนสูงของกษัตริย์และเจ้าชายหลายพระองค์ที่เคยไปเยี่ยมโบสถ์รอสกิลด์
รวมทั้งพระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
และสมเด็จพระเทพรัตนสุดาฯ (ในส่วนที่เรียกว่า Chapel of the Magi ภายในโบสถ์รอสกิลด์)
แผ่นหินจารึกเจาะจงว่า ใต้ลงไปเป็นที่ฝังศพของพระนักบวชชื่อฟิลิป โจลี (Philippe Joly) ผู้ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 25 เดือนกุมภาพันธ์ ปี1706
แผ่นหินจารึกบอกตำแหน่งของที่ฝังศพใต้พื้นแบบนี้ มีกระจายไปทั่ว ตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง
มิได้ติดๆกันไปเพราะการนำเข้าไปฝังไว้ใต้พื้นโบสถ์นั้น
แต่ละรายในวันเวลาต่างกัน
พื้นหินปูสลับแผ่นหินอ่อนสีขาวกับสีดำเป็นตาหมากรุก เป็นส่วนหนึ่งของพื้นโบสถ์น็อตเตรอดามเมืองอาเมียง์
ที่มีพื้นที่รวมทั้งหมดกว้างที่สุดในฝรั่งเศส
และพื้นปูด้วยแผ่นหินอ่อนสีขาวสลับสีดำ
เป็นลวดลายต่างๆกันหลายแบบหลายลายที่ไม่มีที่ใดเหมือนตลอดความยาวของลำตัวโบสถ์ รวมทั้งลาบีรินต์ขนาดใหญ่ตรงกลางลำตัวของโบสถ์
ในภาพนี้ก็เช่นกัน
มีแผ่นหินสีขาวตรงล่างของภาพที่มีคำจารึกเกี่ยวกับผู้ตายที่ฝังไว้ใต้พื้นตรงจุดนั้น
และมีอีกบนเส้นทางนี้ที่เป็นลำตัวโบสถ์จากประตูด้านทิศตะวันตกเป็นเส้นตรงไปถึงจุดใจกลางที่มีแท่นบูชาเอกตั้งอยู่
และที่เป็นบริเวณศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของโบสถ์ เพราะฉะนั้นผู้ที่มีร่างฝังไว้บนเส้นทางนี้จึงเป็นอภิสิทธิ์ชนอย่งแท้จริง
นอกจากการวางแผ่นหินนอนราบไปบนพื้น ยังอาจจัดเป็นแบบตั้งยืนบนส่วนหัวของหลุมศพ วิธีการจัดพื้นที่เหนือหลุมศพ เห็นได้จากภาพสเก็ตช์ข้างล่างนี้ (ภาพ 3.22) เป็นแบบเรียบร้อย ที่ใช้กันทั่วไป เห็นได้ชัดว่ามีแผ่นหินจัดให้เป็นฐาน(1และ2) แผ่นหินตั้งเหมือนหัวเตียงไม่สูงมาก(no.3) สำหรับจารึกข้อความหรือสิ่งประดับรูปลักษณ์แบบหนึ่งแบบใดแล้วแต่ต้องการ และมีแผ่นหินสำหรับวางราบปิดพื้นที่เหนือหลุมศพ(no.4)หินตั้งเหนือหลุมศพ(no.3)
นอกจากการวางแผ่นหินนอนราบไปบนพื้น ยังอาจจัดเป็นแบบตั้งยืนบนส่วนหัวของหลุมศพ วิธีการจัดพื้นที่เหนือหลุมศพ เห็นได้จากภาพสเก็ตช์ข้างล่างนี้ (ภาพ 3.22) เป็นแบบเรียบร้อย ที่ใช้กันทั่วไป เห็นได้ชัดว่ามีแผ่นหินจัดให้เป็นฐาน(1และ2) แผ่นหินตั้งเหมือนหัวเตียงไม่สูงมาก(no.3) สำหรับจารึกข้อความหรือสิ่งประดับรูปลักษณ์แบบหนึ่งแบบใดแล้วแต่ต้องการ และมีแผ่นหินสำหรับวางราบปิดพื้นที่เหนือหลุมศพ(no.4)หินตั้งเหนือหลุมศพ(no.3)
บางทีก็ทำเป็นแบบเสาสูงยอดแหลมเล็กลงนิดหน่อยแบบเสาโอเบลิซค์
(obelisk) แต่ไม่สูงเท่าเสาโอเบลิสก์ที่ตั้งประดับกลางเมืองเช่นที่ปล๊าซ เดอ ลา กงก๊อร์ด (Place
de la Concorde) กรุงปารีส
ส่วนใหญ่มักประดับหลุมศพที่สร้างอุทิศแด่กลุ่มทหารหรือกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง
ที่เสียชีวิตพร้อมกันในสงครามหรือในเหตุการณ์หนึ่งอย่างเฉพาะเจาะจง เมื่อสังคมพัฒนามากขึ้น ความก้าวหน้าในศิลปวิทยาทำให้รูปลักษณ์ที่ประดับหลุมศพหรือสุสาน
วิจิตรพิสดารและหลากหลายรูปแบบมากขึ้น
ตัวอย่างจากสุสานส่วนหนึ่งของอารามซันมีเนียโตะ เมืองฟลอเรนส์
ประเทศอิตาลี (Monasterio di San Miniato, Firenze)
ตรงนั้นเป็นจุดชมวิวที่สวยมากจุดหนึ่งของเมืองฟลอเรนส์
เพราะสายตาโอบทิวทัศน์ของเมืองได้เกือบทั้งหมด และมองเห็นโดมและหอคอยสูงใหญ่ของสถานที่สำคัญๆในเมืองฟลอเรนส์
(เช่น La Cattedrale (Il
Duomo), Il Battistero di San Giovanni, Il campanile de Giotto, Palazzo Vecchio,
il edificio degli Uffizi และยังอาจมองเห็นแม่น้ำ Arno และอาคารบ้านเมืองสองฝั่ง เป็นต้น)
หินตั้งทรงสูงแบบเสาโอเบลิซ์ก แต่ไม่สูงมาก
เป็นอนุสรณ์สำหรับการตายหมู่ในเหตุการณ์เฉพาะเหตุการณ์หนึ่ง ภาพนี้จากสุสานแปร์ลาแช้ส
ปารีส (Cimetière du Père-Lachaise, Paris)
ภาพจากสุสานกลางของกรุงเวียนนา
(Zentralfriedhof,
Wien สถาปนาขึ้นในปี
1847) เป็นถนนสายหนึ่งภายในสุสานกลางที่มีขนาดใหญ่เป็นที่สองของยุโรป (ลองจากสุสานออลสฺดอร์ฟที่เมืองฮัมบูร์ก- Friedhof Ohlsdorf ที่มีพื้นที่รวมทั้งหมดกว่าสี่ตารางกิโลเมตร) แต่ถ้านับจำนวนคนตายที่ฝังในสุสานแล้ว สุสานกลางที่เวียนนาได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก ในฐานะที่มีจำนวนผู้ตายที่ฝังไว้ที่นั่นแล้วประมาณสามล้านราย
บนพื้นที่ 2.4
ตารางกิโลเมตร
ตั้งอยู่ชานเมืองเวียนนา
ความกว้างใหญ่ของพื้นที่ ทำให้มีการจัดเส้นทางเดินรถจากมุมต่างๆของเมืองไปยังสุสานนี้
และภายในสุสานเองก็มีรถเมล์บริการรับส่งสม่ำเสมอ
ตามจุดต่างๆภายในสุสานที่เป็นสวนสุสานขนาดใหญ่
สุสานกลางของกรุงเวียนนานี้ ยังได้จัดพื้นที่เฉพาะให้ผู้ตายในศาสนาต่างๆเช่น
จูดาอิซึมของชาวยิว อิสลาม
พุทธศาสนาและคติความเชื่ออื่นๆ การบริหารจัดการสุสานที่นั่นเป็นความพยายามของประเทศออสเตรียที่ยึดอุดมการณ์ประชาธิปไตยเพื่อให้ประชาชนทุกเผ่าพันธุ์ทุกศาสนาได้รับสิทธิประโยชน์อย่างเท่าเทียมกันให้มากที่สุดแม้ในความตาย
แบบที่เรียบกว่า ง่ายกว่าและคงจะถูกกว่า ก็ดูงามขรึมได้ โดยเฉพาะเมื่อญาตินำดอกไม้มาประดับหรือหมั่นดูแลพื้นที่เหนือหลุมศพแปลงน้อยๆแต่ละแปลงนั้น ทั้งยังให้ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนแปลงดอกไม้แปลงหนึ่ง วัดหรือสุสานส่วนใหญ่มีบริการดูแลรักษาหลุมศพและกำจัดวัชพืชหรือตกแต่งประดับให้สวยงาม เป็นบริการที่ต้องเสียเงิน
แบบที่เรียบกว่า ง่ายกว่าและคงจะถูกกว่า ก็ดูงามขรึมได้ โดยเฉพาะเมื่อญาตินำดอกไม้มาประดับหรือหมั่นดูแลพื้นที่เหนือหลุมศพแปลงน้อยๆแต่ละแปลงนั้น ทั้งยังให้ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนแปลงดอกไม้แปลงหนึ่ง วัดหรือสุสานส่วนใหญ่มีบริการดูแลรักษาหลุมศพและกำจัดวัชพืชหรือตกแต่งประดับให้สวยงาม เป็นบริการที่ต้องเสียเงิน
สุสานเล็กติดวัดที่เมืองไรเชอเนา (อยู่บนเกาะเล็กๆชื่อเดียวกัน- Insel Reichenu นอกเมือง ค็อนสตันส์ -Constanz) ประเทศเยอรมนี หลุมศพแต่ละหลุมมีแผ่นหินขนาดพอเหมาะ กว้างมากกว่าสูง ดูเรียบร้อย สงบเสงี่ยม
และสวยงาม ทั้งยังให้กำลังใจแก่ผู้ผ่านไป เพราะดอกไม้ทั้งหลายเพิ่มชีวิตและกลบความตาย หลุมศพแต่ละหลุมเป็นแปลงดอกไม้แปลงหนึ่ง
ภาพหลุมศพแห่งหนึ่งจากสุสานติดวัดที่เกาะไฮ้เชอเนา (Insel Reichenu นอกเมืองค็อนสตันส์ - Constanz) ในเยอรมนี ให้สังเกตวิธีการจำหลักแผ่นหินที่ตั้งประดับหลุมศพ
เป็นแบบเรียบง่ายและคงทนถาวร
อนุสรณ์สถานล่าสุดที่เป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ยุคปัจจุบันคือ อนุสรณ์สถานชาวยิวยุโรปที่ถูกพวกนาซีฆ่าตาย (โดยเฉพาะในสงครามโลกครั้งที่สอง) ที่ตั้งอยู่ที่กรุงแบร์ลิน (มีชื่อเต็มในภาษาเยอรมันว่า Denkmal für die ermordeten Juden Europas หรือเรียกกันสั้นๆว่าHolocaust Mahnmal ในภาษาอังกฤษใช้สั้นๆว่า Berlin Holocaust Memorial)[1] อนุสรณ์สถานนี้เป็นผลงานออกแบบของปีเตอร์ ไอเซินมัน (Peter Eisenman สถาปนิกชาวนิวยอร์ค เขาเป็นผู้ออกแบบพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ใต้ระดับพื้นที่ตั้งของอนุสรณ์สถานนี้ด้วย) [2] สถาปนิกนำแผ่นหินสีดำ ตัดเรียบและทุกด้านว่างเปล่าไม่มีคำจารึกใดๆ ทั้งหมดประมาณ 2700 แผ่นแต่ละแผ่นกว้าง 0.95 เมตรและยาว 2.38 เมตร ส่วนความสูงนั้นอยู่ระหว่าง 0.2 ถึง 4.8 เมตร พื้นที่ตั้งอนุสรณ์สถานนั้น มิได้ราบเรียบเสมอกันแต่เป็นทางลาดนิดๆ หินถูกเรียงต่อๆกันเป็นตาราง(grid pattern) คลุมพื้นที่กว่า 19,000 ตารางเมตร ผู้ชมสามารถเดินเข้าออกบริเวณอนุสรณ์สถานขนาดใหญ่นี้ได้จากทุกๆด้าน และไม่มีเส้นทางเจาะจงกำหนดไว้ เจตจำนงของสถาปนิก คือต้องการให้พื้นที่อนุสรณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ผู้คนอาจเดินตัดผ่านเข้าออกอนุสรณ์สถานนี้ ใช้เป็นทางลัดไปสู่อาคารที่ตั้งร้านค้าและที่พักที่อยู่รอบๆได้ สถาปนิกมิได้สร้างให้เป็นพื้นที่ศาสนา มิได้ต้องการให้เป็นสถานศักดิ์สิทธิ์แต่เป็นพื้นที่สาธารณชน แม้จะเป็นสนามรำลึกถึงความตาย แต่ก็ให้ความหวังว่าความทรงจำเกี่ยวกับความผิดพลาดและความโหดร้าย(ของฮิตเลอร์) ที่ได้สั่งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวในยุโรป กลายเป็นสิ่งเตือนสติคนรุ่นใหม่ให้ช่วยกันปกป้องมนุษยชาติ อย่าให้เกิดการฆ่าล้างทำลายแบบนั้นอีกเลย
อนุสรณ์สถานล่าสุดที่เป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ยุคปัจจุบันคือ อนุสรณ์สถานชาวยิวยุโรปที่ถูกพวกนาซีฆ่าตาย (โดยเฉพาะในสงครามโลกครั้งที่สอง) ที่ตั้งอยู่ที่กรุงแบร์ลิน (มีชื่อเต็มในภาษาเยอรมันว่า Denkmal für die ermordeten Juden Europas หรือเรียกกันสั้นๆว่าHolocaust Mahnmal ในภาษาอังกฤษใช้สั้นๆว่า Berlin Holocaust Memorial)[1] อนุสรณ์สถานนี้เป็นผลงานออกแบบของปีเตอร์ ไอเซินมัน (Peter Eisenman สถาปนิกชาวนิวยอร์ค เขาเป็นผู้ออกแบบพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ใต้ระดับพื้นที่ตั้งของอนุสรณ์สถานนี้ด้วย) [2] สถาปนิกนำแผ่นหินสีดำ ตัดเรียบและทุกด้านว่างเปล่าไม่มีคำจารึกใดๆ ทั้งหมดประมาณ 2700 แผ่นแต่ละแผ่นกว้าง 0.95 เมตรและยาว 2.38 เมตร ส่วนความสูงนั้นอยู่ระหว่าง 0.2 ถึง 4.8 เมตร พื้นที่ตั้งอนุสรณ์สถานนั้น มิได้ราบเรียบเสมอกันแต่เป็นทางลาดนิดๆ หินถูกเรียงต่อๆกันเป็นตาราง(grid pattern) คลุมพื้นที่กว่า 19,000 ตารางเมตร ผู้ชมสามารถเดินเข้าออกบริเวณอนุสรณ์สถานขนาดใหญ่นี้ได้จากทุกๆด้าน และไม่มีเส้นทางเจาะจงกำหนดไว้ เจตจำนงของสถาปนิก คือต้องการให้พื้นที่อนุสรณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ผู้คนอาจเดินตัดผ่านเข้าออกอนุสรณ์สถานนี้ ใช้เป็นทางลัดไปสู่อาคารที่ตั้งร้านค้าและที่พักที่อยู่รอบๆได้ สถาปนิกมิได้สร้างให้เป็นพื้นที่ศาสนา มิได้ต้องการให้เป็นสถานศักดิ์สิทธิ์แต่เป็นพื้นที่สาธารณชน แม้จะเป็นสนามรำลึกถึงความตาย แต่ก็ให้ความหวังว่าความทรงจำเกี่ยวกับความผิดพลาดและความโหดร้าย(ของฮิตเลอร์) ที่ได้สั่งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวในยุโรป กลายเป็นสิ่งเตือนสติคนรุ่นใหม่ให้ช่วยกันปกป้องมนุษยชาติ อย่าให้เกิดการฆ่าล้างทำลายแบบนั้นอีกเลย
ภาพแสดงที่ตั้งของอนุสรณ์สถานแห่งความทรงจำอุทิศแด่ชาวยิวในยุโรปที่ถูกฆ่าสังหาร
(Denkmal für die ermordeten Juden Europas หรือเรียกกันสั้นๆว่าHolocaust Mahnmal ในภาษาอังกฤษใช้สั้นๆว่า Berlin Holocaust Memorial) ภาพของผู้เขียนเอง
ถ่ายไว้เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2007 เวลา17:56 น.และ 18:16 น.
ในยุคกรีกโบราณหรือยุคโรมัน
คนนิยมให้มีประติมากรรมจำหลักนูนบนแผ่นหินสำหรับตั้งประดับเหนือหลุมศพ
ทำให้ประติมากรรมนูนต่ำพัฒนาแพร่หลายและเหลือมาให้เราได้ชื่นชมในยุคปัจจุบัน การจำหลักมักจัดให้อยู่ตอนบนของแผ่นหินที่สูงมากกว่ากว้าง
แต่อาจเต็มตลอดความกว้างความสูงของหินทั้งแผ่นก็ได้
โดยเฉพาะสำหรับชนชั้นสูงและผู้มีอำนาจและเงินทอง
หินที่ใช้หากเลือกได้ ก็ใช้หินอ่อนเป็นส่วนใหญ่
เนื้อหานั้นมักสื่อการอำลาจากครอบครัวหรือมิตรสหาย การเลี้ยงฉลอง
หรืออาหารมื้อสุดท้ายกับสมาชิกครอบครัว
กิจกรรมที่ผู้ตายเคยทำเสมอในชีวิต
หรือเหตุการณ์สุดยอดในชีวิตของผู้ตายเป็นต้น
แผ่นหินจำหลัก แสดงผู้ตายในครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตากับภรรยาและลูก ในศิลปะกรีกโรมันสมัยก่อนนิยมจำหลักภาพภายในครอบครัวบนแผ่นหิน
ผู้ตายหรือหัวหน้าครอบครัวมักอยู่ในท่าครึ่งนั่งครึ่งนอน
มือถือถ้วยเหล้าองุ่น
สมัยนั้นวิธีการกินอาหารภายในครอบครัวหรือในหมู่มิตรสหาย
นั่งครึ่งนอนครึ่งบนเตียง(แบบตั่ง)
หินตั้งขนาดใหญ่สำหรับประดับหลุมศพของผู้มีอันจะกิน
มักมีประติมากรรมจำหลักเต็มตลอดความกว้างและความสูงของแผ่นหิน ภาพนี้ก็เสนอภาพผู้ตายในบ้าน
มีภรรยานั่งครุ่นคิดอยู่ด้านใน มีคนมาเยี่ยมเหมือนมาบอกลา
ทั้งสองจับมือกัน อำลากัน
ฉากแบบนี้เห็นทั่วไปในพิพิธภัณฑ์ศิลปะกรีกโรมันยุคโบราณ ภาพนี้จากพิพิธภัณฑ์ Pergamon Museum แผนกโบราณวัตถุ - Antikensammlung Berlin กรุงแบร์ลิน บุคคลในภาพคือ Thrasea & Euandria เป็นหินอ่อน มีอายุอยู่ในราว 375-350 BC. ปีก่อนคริสตกาล (ภาพถ่ายของ Marcus Cyron เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2007 ปรากฏในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)
ประติมากรรมจำหลักประดับหินตั้งตรงหัวหลุมศพ
มีรูปแบบหลากหลายมากขึ้นๆในเวลาต่อมา
เนื้อหาก็ค่อยๆเบนจากความอาลัยไปเป็นการบันทึกความดีหรือความเด่นของผู้ตาย
เช่นในภาพข้างล่างนี้ เป็นหลุมศพของฟรันซ์ ชูเบอร์ต(Franz
Schubert) นักประพันธ์ดนตรี
ที่สุสานกลางของกรุงเวียนนา สุสานกลางนี้เป็นสุสานที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป
ในฐานะที่มีจำนวนผู้ตายที่ฝังไว้ที่นั่นแล้วประมาณสามล้านราย บนพื้นที่ 2.4 ตารางกิโลเมตร[3] ที่นั่น มีพื้นที่ที่จัดให้เป็นที่ฝังศพของนักดนตรีโดยเฉพาะ ทางการให้ย้ายศพจากที่ฝังเดิมมารวมไว้ที่นั่น(เมื่อทำได้)
และเมื่อทำไม่ได้ ก็สร้างเป็นอนุสาวรีย์เหมือนสำหรับเก็บศพ(แต่ไม่มีอัฐิอังคารของผู้ตาย เรียกว่าcenotaph)
ขึ้นให้เป็นอนุสรณ์แด่ผู้นั้น
เช่นกรณีของโมสาร์ตเป็นต้น[4] นอกจากนี้ยังมีการจัดพื้นที่รวมหลุมศพของประธานาธิบดีของประเทศ
และพื้นที่รวมบุคคลเด่นคนดังทั้งหลายที่ถึงแก่อนิจกรรมในออสเตรีย
ทั้งนี้เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวหรือผู้คนทั่วไปให้ไปเยือนสุสาน
เหมือนไปชมพิพิธภัณฑ์หรือไปเยือนอุทยานแห่งความทรงจำ นโยบายนี้นำมาจากการจัดการบริหารสวนสุสานแปร์ลาแช้ส(Cimetière du
Père-Lachaise, สร้างขึ้นในปี
1804)ในกรุงปารีสที่เป็นต้นแบบของการสร้างสวนสุสานขนาดใหญ่ๆตามชานเมืองไกลออกจากใจกลางเมืองที่เป็นศูนย์ธุรกิจการค้าหรือไกลจากเขตที่พักอาศัยของชาวเมือง
หลุมศพของฟรันซ์ ชูเบิร์ต (Franz Schubert, 1797-1828) นักประพันธ์ดนตรี ที่สุสานกลาง
ณ ชานเมืองเวียนนา ( Zentralfriedhof, Wien) บนแผ่นหินตั้ง
มีรูปปั้นครึ่งตัวของชูเบอร์ต บนแท่นสูง (รูปปั้นครึ่งตัวบนแท่นที่เป็นฐานแบบนี้เรียกว่า term หรือ herm) เทพธิดาองค์หนึ่ง (Muse)[5] มือถือพิณ กำลังจะสวมมงกุฎใบไม้ (laurel wreath พวงหรีดขนาดเล็กทำจากใบลอเร็ล) ให้แก่ชูเบอร์ต
เหมือนจะบอกว่า เขาได้รับเข้าในหมู่ทวยเทพแห่งดนตรี บนพื้นที่ตอนล่างของรูปปั้นของชูเบอร์ต มีเทวทูตองค์น้อยพร้อมตะกร้าดอกไม้
สื่อการสรรเสริญ
การเนรมิตประติมากรรมจำหลักนูนประดับบนแผ่นหินตั้งยังทำกันอยู่ต่อมาจนถึงปัจจุบัน
แต่เพิ่มทางเลือกใหม่ด้วยการเนรมิตข้อความและรูปลักษณ์ใดหลอมลงบนแผ่นโลหะแล้วนำไปติดลงบนแผ่นหินประดับหลุมศพ
ง่ายกว่า เร็วกว่าหรือถูกกว่า
ระหว่างศตวรรษที่ 13-16 ในหมู่ชนชั้นพ่อค้าและเจ้าของที่ดิน คนนิยมทำแผ่นทองสัมฤทธิ์ที่จำหลักภาพเหมือนของผู้ตายเพื่อเก็บเป็นที่ระลึก มักมีคำจารึกและรูปลักษณ์สถาปัตยกรรมประกอบ
บางทีทำจากเหล็กหล่อเหล็กหลอมหลากหลายรูปลักษณ์
แผ่นทองสัมฤทธิ์แบบนี้ครอบครัวจะนำไปประดับที่วัด
บนพื้นทางเดินหรือบนกำแพงของวัด(หลังจากที่ได้ขออนุญาตจากทางวัดแล้ว) ตั้งแต่ปลายยุคกลาง
เกิดความอยากจัดขบวนแห่จากบ้านผู้ตายไปสู่หลุมศพโดยเฉพาะเมื่อผู้ตายเป็นบุคคลสำคัญของชุมชนนั้น ความนิยมนี้สืบทอดต่อมาจนถึงศตวรรษที่สิบแปด
แผ่นทองสัมฤทธิ์หรือแผ่นเหล็กหล่อที่ประดับโลงศพผู้ตายนั้น
ถูกยกออกเมื่อนำลงฝังใต้ดินแล้ว และนำไปประดับที่วัดต่อไป
หากไม่ทำเป็นแผ่นทองสัมฤทธิ์จำหลักภาพเหมือนของผู้ตาย ก็ใช้หน้ากากเหมือนของผู้ตายแทน แผ่นหินที่ประดับด้วยประติมากรรมจำหลักนูนสำหรับประดับเหนือหลุมศพ
อาจเปลี่ยนไปเป็นรูปปั้นยืนอิสระก็มีมากเช่นกัน
[1] อนุสรณ์สถานนี้ตั้งอยู่บนหัวมุมถนน Eberstrasse และ Behrenstrasse ในเขต Mitte กรุงแบร์ลิน อยู่ไม่ไกลจาก Reichtag (ที่ตั้งรัฐสภา) และใกล้สถานีใต้ดิน S-Bahn : Unter den Linden ติดตามอ่านรายละเอียดได้ที่
www.holocaust-mahnmal.de และที่ www.stiftung-denkmal.de
[2]
เริ่มสร้างตั้งแต่เดือนเมษายน
2003 และแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2004 และทางการประกาศให้อนุสรณ์สถานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองหกสิบปีของวันแห่งชัยชนะของยุโรป
เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม
2005
และเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ตั้งแต่วันที่ 12 เดือนพฤษภาคม 2005 เป็นต้นมา วันแห่งชัยชนะของยุโรป คือวัน Victory in Europe Day หรือใช้เพียงสั้นๆว่า V-E Day ซึ่งตรงกับวันที่ 8 พฤษภาคม 1945และมีการรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี
1945 เมื่อทหารพันธมิตรสามารถเอาชนะและสยบกองทหารนาซีได้ในที่สุด
การเฉลิมฉลองเหตุการณ์นี้ได้สืบต่อมาจนถึงปัจจุบันทั้งในยุโรปและอังกฤษ
รวมทั้งเมืองต่างๆในยุโรปที่เคยถูกทหารเยอรมันเข้าไปยึดครองในระหว่างสงคราม มีรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ในปี 1945 อีกมากที่อาจติดตามอ่านได้ที่ www.history.com ตามด้วย V-E Day[4] นักประพันธ์ดนตรีและนักดนตรีที่มีอนุสรณ์สถานที่สุสานกลางกรุงเวียนนา (Zentralfriedhof, Wien) เช่น Ludwig van Beethoven, Mozart, Johannes Brahms, Johann Strauss jr., Johann Nestroy, Antonio Salieri, Arnold Schönberg, etc.
[5] วัฒนธรรมกรีกโบราณ(Hellenism) จัดว่า แรงบันดาลใจ เกิดขึ้นเพราะมีเทพมาดลใจ อาจเป็นเทพ Apollo เทพเจ้าแห่งดนตรี หรือเทพ Dionysus เทพเจ้าแห่งไวน์และการร้องรำทำเพลง มิฉะนั้นก็อาจมาจากเทพธิดาหรือ มิวซ์ - muse ในขนบกรีก มี มิวซ์เก้าองค์ ที่ดลใจให้สร้างสรรค์งานศิลป์แขนงต่างๆ คำ museum พิพิธภัณฑ์ ก็มาจากคำมิวซ์ คำแรงบันดาลใจ ในภาษาอังกฤษและภาษาอื่นๆในยุโรปใช้คำเดียวกันคือ inspiration ที่มาจากคำละติน inspirare ที่แปลว่า หายใจเข้าไป เทพธิดาแห่งดนตรีชื่อว่าเออแต้ร์ป (Euterpe) ปกติในภาพของเทพธิดาองค์นี้ ถือขลุ่ยในมือ ส่วนเทพธิดาที่ถือพิณชื่อเอร้าโต (Erato) เป็นเทพแห่งกาพย์กลอน
ได้ความรู้ใหม่ๆอีกตามเคย แต่ก่อนไม่เคยทราบว่า cenotaph หรือ ossuary หมายถึงอะไร ขอบคุณค่ะโช
ReplyDelete