Tuesday 7 July 2015

ต้นไม้ตระกูล ต้นไม้เจสซี - From Jesse Tree to family tree

ต้นไม้เจสซี ต้นไม้เชื้อสายชีวิต 
          นอกจากเนื้อหาของการพิพากษาสุดท้ายแล้ว สิ่งที่ดูเหมือนจะวาดประดับไว้ทุกวัดคือต้นไม้เจสซี Jesse Tree (Arbre de Jessé) เป็นภาพแสดงเชื้อสายการสืบตระกูลตั้งแต่บรรพบุรุษในคัมภีร์เก่ามาจนถึงของพระเยซู 
          ภาพเฟรสโก้บนกำแพงวัดในโรเมเนียโดยเฉพาะในจังหวัด Bucovina (เช่นที่ Monastery Voronet, Monastery Moldovita, Monastery Sucevita)  เนื้อหาต้นไม้ของเจสซีนั้น แผ่กิ่งก้านออกไปเต็มกำแพงเลย โดยที่แต่ละกิ่งขยายออกไปในแนวนอน แต่ละกิ่งมีวงกลมๆรีๆมากมาย  เป็นสัญลักษณ์อย่างคร่าวๆแทนดอกผลที่แตกออกจากกิ่ง  ภายในวงกลมแต่ละวง ภาพของบรรพบุรุษคนหนึ่งหรือฉากหนึ่งในคัมภีร์เก่า  ตัวอย่างที่นำมาให้ดูจาก Monastery Voronet เป็นภาพคนมากกว่า นอกจากพระเยซูคริสต์ พระแม่มารี มีเทวทูต ศาสดาพยากรณ์ นักบุญ รวมทั้งอริยะบุคคลในท้องถิ่นนั้นด้วยการเรียงลำดับก่อนหลังของเจ้าอาวาสของแต่ละวัด ก็สำคัญมากเช่นกัน เนื่องจากเจ้าอาวาสคือผู้มีอำนาจเต็มของวัดนั้นและของชุมชนนั้น และก็ไม่ขึ้นกับใครเลย (นิกาย orthodox ไม่มีสันตะปาปาผู้เป็นหัวหน้าของคริสต์จักรตะวันตก)  ภาพบุคคลทั้งหลาย เราก็ไม่มีทางรู้อย่างเจาะจงว่าภาพใดเป็นใคร เพราะภาพเลือนลางดูไม่ชัดเจน หรือดูไม่ถนัดเพราะอยู่สูงเกินระดับสายตาเป็นต้น  เฟรสโก้ประดับนอกกำแพงของวัดในขนบนิยมของ orthodox นั้น ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อภาพบนกำแพงภายนอกมากกว่ากำแพงภายในเสียอีก อาจเป็นเพราะที่ทางแคบภายในวัด (เขาห้ามถ่ายรูปแน่นอน) และเป็นที่ประกอบพิธีศาสนา ซึ่งทุกคนอยู่ในท่าสำรวม ยืนฟังเทศน์ ไม่ให้โอกาสพินิจพิจารณาภาพบนกำแพงภายในได้นัก 
         นี่เป็นกรณีพิเศษและโดดเด่นในศิลปะเฟรสโก้ของวัดอารามหลายแห่งในจังหวัด Bucovina ในประเทศโรเมเนีย  วัดอารามในแดนนี้ที่สร้างขึ้นในระหว่างศตวรรษที่ 15 และ 16 ด้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก ในฐานะที่เป็นตัวอย่างของวัดและอารามที่ประดับด้วยเฟรสโก้บนกำแพงด้านนอกทั้งหลังที่หาดูไม่ได้ในที่ใด  วัดที่สร้างขึ้นในศควรรษหลังๆ (ศต.ที่ 18, 19, 20)  ไม่มีเฟรสโก้ประดับอีกแล้ว เป็นกำแพงเรียบๆ  แต่อาคารวัดขยายใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับประชากรที่เพิ่มขึ้น  ภายในอลังการมากขึ้นด้วยเครื่องประดับเป็นเงินเป็นทองเพิ่มขึ้น  จิตรกรรมฝาผนังภายในยังมีอยู่ แต่ไม่เต็มทุกพื้นที่  ฯลฯ(อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับศิลปะออร์ธอด็อกส์และสถาปัตยกรรม รวมทั้งบรรณานุกรมที่เกี่ยวข้องได้ที่นี่  http://www.goarch.org/ourfaith/ourfaith8025 )
ตัวอย่างภาพชุดต้นไม้ของเจสซี ที่ปรากฏประดับเต็มกำแพงทิศใต้ที่วัด Monastery Voronet.

 Jesse Tree ที่ละเอียดยิบบนกำแพงด้านทิศใต้ที่ Monastery Voronet  
ณตำแหน่ง * คือเจสซี Jesse ในท่านอน ดังภาพขยายใหญ่ข้างล่างนี้
ตัวอย่างภาพบุคคลในวงกลมๆที่เป็นวงหนึ่งแตกแขนงออกจากตัว Jesse  
ที่อยู่ณ * ขอบล่างของภาพ  
 ส่วนที่ตัดมานี้ เห็นวงกลมๆทั้งแนวนอนและแนวตั้ง  ณ ตำแหน่งแถวที่สองเหนือขอบหน้าต่าง  จาค็อปนอนอยู่  ข้างๆเขา เทวทูตกำลังขึ้นบันได (Jacob’s ladder) ดังภาพขยายใหญ่ข้างล่างนี้  อ่านเรื่องบันไดของจาค็อปได้ที่นี่ http://www.chotirosk.blogspot.com/2015/06/stairs-to-heaven.html ) หรือในคัมภีร์ (Gn 28:11-15)  

        ต่อมาหลังจากฝันนั้น จาค็อปตั้งครอบครัวของเขา  คืนหนึ่งพระเจ้าส่งเทวทูตลงมาประลองกำลังกับจาค็อปแบบตัวต่อตัว และจาค็อปเอาชนะเทวทูตได้ โดยที่เขาไม่รู้ว่าทำไมถูกบังคับให้ต่อสู้กันด้วยมือเปล่า เพื่อป้องกันตัวหรือไฉน กว่าเทวทูตจะยอมหยุด จาค็อปก็ปางตายเช่นกัน (Gn 32:25-30)  พระเจ้าจึงบอกกับจาค็อปว่า ต่อไปนี้เขาจักใช้ชื่อว่า อิสราเอ็ล และประทานพรให้เขาว่าเขาจะมีลูกหลานจำนวนมาก กระจายออกไปในแผ่นดิน เป็นชาติต่างๆหลายๆชาติ และเป็นกษัตริย์จำนวนมาก (Gn 35:11).  จารึกเรื่องการประลองกำลังกับเทวทูตนี้ที่เล่าไว้ในคัมภีร์เก่า ทำให้นักเทวศาสตร์บางคนเจาะจงว่า จาค็อปคือต้นตระกูลของอิสราเอ็ล ซึ่งเท่ากับของมารีและพระเยซูด้วย ในภาษาฮีบรู อิสราเอ็ล แปลว่า ผู้มีชัย จึงโยงไปถึงชัยชนะในการต่อสู้กับเทวทูตองค์หนึ่งในคืนนั้น  การต่อสู้นี้เป็นการประกาศการมาของพระเจ้าในร่างของมนุษย์ ไว้  (ในเฟรสโก้ที่วัด Monastery Sucevita ไม่มีภาพเหตุการณ์นี้)

กลับมาดูบนกำแพงวัด สองข้างของเจสซี ทุกคนถือม้วนกระดาษที่คลี่ยาวลงในมือ อันเป็นภาพลักษณ์ของเหล่าศาสดาพยากรณ์ (prophets) ที่เล่าไว้ในคัมภีร์เก่าซึ่งมีจำนวนมาก บนแผ่นกระดาษที่ถือนั้น จารึกคำพยากรณ์ คำพูดของแต่ละคน. ในยุคก่อนและต้นคริสตกาลนั้น ยังไม่มีการเข้าเล่มเป็นหนังสือเหมือนในปัจจุบัน, คำพูดคำสอนต่างๆจึงเขียนบนแผ่นหนังที่ม้วนเป็นหลอดยาวกลมๆ  ภาพเฟรสโก้ที่นั่นมีรูปของศาสดาเหล่านั้นจำนวนมาก. ขนบนิยมในตะวันตก มักเลือกไว้ 12 คนตามที่ปรากฏเล่าไว้ในคัมภีร์เก่าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีจำนวนสอดคล้องกับอัครสาวกในคัมภีร์ใหม่ 12 คนด้วย.  นี่เป็นวิธีการเชื่อมต่อและสืบทอดเนื้อหาจากคัมภีร์เก่ามาสู่คัมภีร์ใหม่, ในเชิงว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในคัมภีร์เก่าเป็นบทนำหรือชี้อนาคตล่วงหน้าของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในคัมภีร์ใหม่ หรือสะท้อนกันไปมา (ในทำนองคล้ายๆกับ บุคคลที่เล่าไว้ในชาดกเรื่องต่างๆ จักมาเกิดใหม่เป็นคนนั้นคนนี้ต่อมาในชาติหลังๆ หรือร่วมชาติกับพระพุทธองค์เป็นต้น). การนำภาพบุคคลเหล่านี้มาไว้ที่นี่ เพื่อให้เป็นพยานของการสืบตระกูล ของการมีชีวิตอยู่จริงของบุคคลในคัมภีร์  เพราะศาสดาพยากรณ์ก็มิได้มาปรากฏตัวในยุคสมัยเดียวกันเสมอไป. โชคดีที่มีภาพเหตุการณ์ตอนบันไดของจาค็อปรวมอยู่ด้วยบนกำแพงเฟรสโก้นั้น (และโยงไปถึงหัวข้อที่เขียนมาแล้วเรื่อง บันไดของนักบุญกลีมากุซ และบันไดของจาค็อป ที่ปรากฏบนกำแพงด้านทิศเหนือของวัดเดียวกันนี้)

ใครคือเจสซี
        เมื่ออาดัมและอีฟถูกขับจากสวรรค์ ลงมาเป็นมนุษย์คู่แรกบนโลก โดยปริยายคนร่วมโลกจึงเป็นพี่ๆน้องๆกันทั้งนั้นที่กระจายออกไปอยู่ส่วนต่างๆบนพื้นโลก การนับรุ่นคนที่สืบต่อมาจากอาดัมกับอีฟนั้น ไกลเกินไปในยุคก่อนคริสตกาล (ดูตารางเวลาของบุคคลในคัมภีร์ได้ที่นี่, หรือจากเพจนี้ หรือเพจวิกิพีเดียที่นี่. ประมาณกันว่า ตั้งแต่อาดัมกับอีฟถูกขับลงมาอยู่บนโลก จนถึงโนอา (Noah) เกิดราว 1056 ปี (ข้อมูลของ

การวิจัยของนักประวัติศาสตร์และนักเทวศาสตร์เพื่อกำหนดวันเวลาในคัมภีร์นั้น, ทำกันมาอย่างต่อเนื่อง, ข้อมูลต่างๆยังไม่ใช่ข้อมูลสุดท้าย,  แตกต่างกันไปตามการค้นคว้าของแต่ละคน, ตัวเลขเหล่านี้ไม่ตรงกันเสมอ. นำมาบอกกล่าวเพียงคร่าวๆเท่านั้น. นักประวัติศาสตร์มักเริ่มประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติจากยุคภายหลังน้ำท่วมมหากาฬ และมีโนอากับครอบครัว(พร้อมสรรพสัตว์อย่างละคู่) รอดพ้นความตายมาได้โดยอาศัยอยู่ในเรืออาร์คที่พระเจ้ามาบอกให้โนอาสร้างไว้ก่อนน้ำท่วม, เพราะฉะนั้นโนอาจึงเป็นผู้เริ่มมนุษย์ชาติรุ่นใหม่. อับราฮัมเป็นเชื้อสายตรงของโนอา แม้ว่าคนทั้งสองอยู่ต่างรุ่นกันเป็นเวลาราว 400 ปี. เมื่อโนอาตาย อับราฮัมอายุ 58 ปีแล้ว (Abraham เดิมชื่อ Abram แปลว่า บิดาของคนหมู่มาก).  
      คัมภีร์ของนักบุญแม็ทธิว (Matthew) เริ่มนับรุ่นบรรพบุรุษของพระเยซูจากอับราฮัม ไล่ลงมาถึงพระเยซูแห่งนาซาเร็ธผู้เป็นรุ่นที่ 41. ส่วนคัมภีร์ของลูค (Luke) นับเริ่มต้นที่พระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นรุ่นที่ 1 พระเจ้าสร้างอาดัมกับอีฟ และมีลูกหลานสืบต่อมา. อับราฮัมเป็นรุ่นที่ 22 และพระเยซูเป็นรุ่นที่ 77. ข้อมูลจากแหล่งอื่น (เช่นที่เว็บไซต์นี้ https://en.wikipedia.org/wiki/Genealogy_of_Jesus )ให้อาดัมเป็นรุ่นที่ 1 และพระเยซูเป็นรุ่นที่ 76 ซึ่งคลาดเคลื่อนจากที่นักบุญลุคได้จัดไว้เพียงหนึ่งรุ่น. Jacques de Voragine เล่าว่ามี 43 ชั่วคนจากเจสซีถึงพระเยซู ในหนังสือ La Légende Dorée (XIIIe s.). เช่นนี้ความแตกต่างของจำนวนญาติ จึงอยู่ที่ว่า จุดเริ่มต้นนับรุ่นไม่ตรงกัน. นอกจากนี้คัมภีร์แม็ทธิวได้ข้ามรุ่นไปหลายรุ่น, อาจเพราะรุ่นนั้นๆไม่มีเรื่องอะไรเด่นชัดนัก. นั่นคือผู้จัดลำดับต้นไม้บรรพบุรุษให้ความสำคัญแก่ทุกรุ่นไม่เท่ากันและไม่เหมือนกัน. นักวิจัยบางคนกล่าวว่า ในเอกสารของแม็ทธิวมีขาดหายไปสองหน้า. ทั้งหมดนี้จึงเป็นเพียงการคิดคำนวณคร่าวๆ เพื่อให้ผู้ติดตามรู้ว่าใครมาก่อนหลังเท่านั้น. ตัวเลขกำกับที่บอกปีก่อนคริสตกาลนั้น ก็เป็นเพียงการกำหนดคร่าวๆของนักประวัติศาสตร์ ที่อาจไม่ตรงกันในหมู่นักประวัตืศาสตร์.   
      เพื่อความสะดวกและไม่สับสนในเรื่องตัวเลขเกินไป, ในบทเขียนนี้ยึดการลำดับเครือญาติของพระเยซูตามที่นักบุญแม็ทธิวได้จัดไว้ เพราะนักวิจัยส่วนใหญ่ใช้เล่มของเขาเป็นหลักมากกว่า. เมื่ออับราฮัมเป็นรุ่นที่หนึ่ง ไอแซ็คลูกชายจึงเป็นรุ่นที่ 2 และจาค็อป (Jacob ตามที่เล่าไว้ในเรื่อง บันไดของจาค็อป - Jacob’s ladder ) เป็นรุ่นที่ 3  ส่วนเจสซี (Jesse) ที่เป็นประเด็นในบทเขียนนี้ เป็นรุ่นที่ 13. เจสซีมีลูกชายแปดคน  คนที่แปดคือเดวิด ผู้ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งจูดาในราวปี 1010 BC. กษัตริต์เดวิดจึงเป็นรุ่นที่14 (นักประวัติศาสตร์ระบุด้วยว่า คนในยุคก่อนคริสตกาลนั้น มีอายุยืนมาก จนถึงพันปีก็มี). โซโลมอน(Solomon เกิดในราวปี990 BC) เป็นลูกชายคนหนึ่งของเดวิดกับนางบาธชีบา (Bathsheba). เขาได้เป็นกษัตริย์ เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งด้วย ว่าเต็มเปี่ยมด้วยสติปัญญา ความฉลาดสุขุมและลุ่มลึก. ได้แต่งบทกวีและข้อคิดข้อตรึกตรองต่างๆ เป็นสุภาษิตจำนวนมาก, รู้จักกันดีว่า เขียนได้ไพเราะสละสลวย. โซโลมอนมีชื่ิอว่า เป็นคนเที่ยงธรรม. โซโลมอนเป็นรุ่นที่ 15 และพระเยซูเป็นรุ่นที่ 41 (ตามคัมภีร์ของแม็ทธิว). ชื่อบุคคลสามสี่คนนี้ สำคัญทั้งในคัมภีร์, ในประวัติศาสตร์ศาสนาและในประวัติศาสตร์ศิลป์.  จึงจำเป็นต้องรู้ไว้...
      ความสำคัญของเจสซีอยู่ที่เขาเป็นบิดาของกษัตริย์เดวิด และเป็นปู่ของกษัตริย์โซโลมอน. นี่เป็นประเด็นสำคัญที่สุดที่องค์การศาสนาต้องการเน้น. เชื้อสายกษัตริย์จะสืบทอดต่อมาตั้งแต่นั้น จนถึงรุ่นพระเยซู ซึ่งโดยปริยายรวมถึงพระแม่มารีแห่งนาซาเร็ธด้วย. การระบุเชื้อสายกษัตริย์ เป็นการเสริมเกียรติและศักดิ์ศรีของทั้งสองให้สูงขึ้นตามค่านิยมในสังคมมนุษย์. การขุดคุ้ยเจาะจงว่าเป็นกษัตริย์ได้อย่างไรนั้น, ไม่ใช่ประเด็นสำคัญในความเห็นของผู้เขียน. คำว่ากษัตริย์หรือเจ้าหญิง เจ้าชายในยุคพันสองพันปีก่อนคริสตกาล หมายความว่าเป็นหัวหน้าเผ่า หัวหน้าชุมชน ผู้นำทางจิตใจของชนเผ่าเดียวกันมากกว่าการเน้นศักดา อำนาจหรือความหรูหราอลังการของ “กษัตริย์” ในมโนภาพของคนรุ่นปัจจุบัน. 

ภาพลักษณ์ของต้นไม้เจสซีนั้นเกิดขึ้นเมื่อไร เพื่ออะไร
หัวข้อเรื่องต้นไม้เจสซีนั้น เริ่มจากการพยากรณ์ของศาสดา Isaiah (ผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล) ที่ปรากฏในคัมภีร์เก่าเล่ม Isaiah (11:1-2) ข้อความว่า  
There shall come forth a shoot from the stump of Jesse, and a branch from his roots shall bear fruit. And the Spirit of the Lord shall rest upon him, the Spirit of wisdom and understanding, the Spirit of counsel and might, the Spirit of knowledge and the fear of the Lord.
ข้อความสั้นๆข้างต้น สำนวนแบบฉบับในคัมภีร์ ที่มักต้องคิดต้องวิเคราะห์ หารายละเอียดให้ลึกซึ้ง ที่เราชาวพุทธอาจเข้าไม่ถึงโดยตลอด, จึงจำต้องขยายให้ละเอียดว่า พรอันประเสริฐทั้งหลายที่พระเจ้าประทานให้แก่ลูกคนหนึ่งในเชื้อสายของเจสซี ผู้คือพระเยซู นั้น, ในคริสต์ศาสนาหมายถึง พระเยซูจะมีคุณสมบัติพร้อมของพระเจ้า7ประการ. คุณสมบัติเหล่านี้เรียกว่า the sevenfold gift of the Holy Spirit หรือในภาษาฝรั่งเศสว่า les sept dons du Saint Esprit. มีผู้เปรียบเทียบไว้ว่า เหมือนเปลวไฟที่ส่องประกายบนเชิงเทียนเจ็ดแขนง(ให้นึกถึงเชิงเทียนของชาวยิว). ในคริสต์ศิลป์ พรประเสริฐเจ็ดประการนี้ มักแสดงในรูปของนกสีขาวเจ็ดตัวที่ล้อมรอบศีรษะของพระคริสต์, มีรังสีแผ่เชื่อมตัวนกกับศีรษะ. คุณสมบัติเหล่านั้นมีอะไรบ้างและหมายถึงอะไร ดังรายละเอียดข้างล่างนี้
“ จักปรากฏลำต้นไม้ที่เกิดทะลุขึ้นจากร่างของเจสซี กิ่งหนึ่งของต้นไม้นี้ จักมีผล(มีลูก)  จิตวิญญาณของพระเจ้าจะประทับที่คนนั้น...”  
นักเทวศาสตร์จัดวิธีการอธิบายเป็นคู่ๆสามคู่และจบลงด้วยพรอันประเสริฐประการที่เจ็ดเป็นประการสุดท้าย. เรียงตามลำดับกันดังนี้ 
คู่ที่ ๑. ความเกรงขาม กับความศรัทธา ทำให้คนรู้จักประพฤติปฏิบัติตนเบื้องหน้าพระเจ้า. เคารพและไว้วางใจ, เกิดความใกล้ชิด ในขณะเดียวกันก็รู้จักการวางตนในสถานะที่เหมาะสม.
ความเกรงขาม  มิใช่การกลัวพระเจ้า แต่การตระหนักรู้ว่า ความเป็นพระเจ้านั้นมเหาฬารเพียงใด, ว่าช่องห่างระหว่างพระเจ้ากับสามัญชนคนเดินดิน และสรรพสิ่งในโลกนั้น สุดจะประมาณมิได้. การตระหนักรู้เช่นนี้ ทำให้เกิดความยำเกรงและความถ่อมตน. (ความถ่อมตนเป็นคุณสมบัติแรกที่ทำให้คนสามารถเรียนรู้สิ่งอื่นๆได้ไม่จำกัด เพราะไม่มีความอวดดี,  ความหยิ่งผยองมาขวางการเรียนรู้ใดๆ)
ความศรัทธา ทำให้สำนึกถึงความเอื้ออาทรของพระเจ้า ที่มีต่อทุกคนในแบบของพ่อต่อลูก,  สำนึกถึงความใกล้ชิดและความรักห่วงใยของพระองค์.
คู่ที่ ๒. สำนึกของการรู้แยกแยะและความเข้มแข็ง ที่ช่วยให้ปรับตัวไปตามหลักธรรมของพระเจ้า และกระชับความหมั่นเพียรไปสู่ความสำเร็จ.
จิตสำนึกที่รู้จักแยกแยะ รู้จักประพฤติตนให้สอดคล้องกับคำสอนของพระเจ้า. จิตสำนึกนี้กระตุ้นหรือดลใจให้ทำในสิ่งที่ควรทำ และหลีกเลี่ยงในสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง, ให้พูดในสิ่งที่ควรและรู้จักเก็บวาจา, ทำให้เห็นจิตตนอย่างกระจ่างชัด และเห็นจิตใจของคนอื่น.
ความเข้มแข็ง ทำให้อดทนอดกลั้นในยามเผชิญความทุกข์ยาก. ทำให้มีกำลังใจในการมุ่งมั่น. ความเข้มแข็งจึงเป็นพลังที่พยุงประคับประคองผู้ที่ถูกฆ่าตายเพราะศรัทธาของเขา. ความเข้มแข็งช่วยให้ปฏิบัติหน้าที่ภารกิจในชีวิตประจำวันให้ลุล่วงไปด้วยดี, ให้ยืนหยัดต่อสู้กับจิตใฝ่ต่ำ แต่ละขั้นแต่ละตอนแม้เพียงเรื่องเล็กๆ, ก็เป็นวีรกรรมแบบหนึ่ง.
คู่ที่ ๓. วิชาความรู้และสติปัญญา ที่ส่งเสริมการเรียนรู้และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในพระเจ้า ตั้งแต่กำเนิดของมนุษยชาติ และด้วยสติปัญญา เข้าถึงความจริงอันลุ่มลึกในพระองค์.
วิชาความรู้ต่างๆ  ทำให้ยอมรับบทบาทของพระเจ้าในธรรมชาติ และในประวัติศาสตร์. ทำให้มองทะลุว่าโลกคือสิ่งที่พระเจ้าประทานให้, และสำนึกถึงความไม่ยั่งยืนของชีวิตตน, ของโลกและของจักรวาล.  
สติปัญญา ช่วยให้เข้าถึงความลึกลับของพระเจ้า, เข้าถึงแก่นของความศรัทธา, เข้าใจพระคัมภีร์, เข้าใจข้อบกพร่องที่คนสัมผัสได้(ที่มิใช่เป็นความจริงแท้). ด้วยพรอันประเสริฐของพระเจ้านี้ คนจักกลายเป็นนักเทววิทยาที่แท้จริง.
ประการสุดท้าย คือ ความรู้แจ้งกระจ่างใสในจิตวิญญาณ ที่ทำให้พรประเสริฐอื่นๆทั้งหลายบรรลุผล, ทำให้สามารถ “สัมผัส” การมีอยู่ของพระเจ้า และเข้าร่วมในการดำรงอยู่กับพระองค์, ทำให้เกิดพลังตื่นตัวใหม่ๆ, เป็นความรู้ที่นำไปสู่ความปลื้มปิติในจิตวิญญาณ.
อ่านรายละเอียดคำทำนายได้ที่นี่ และเพจนี้.  

      นักบุญหลายคนได้ทำนายการมาเกิดของพระมหาไถ่กับพระแม่มารีในงานเขียนของพวกเขา. ส่วนใหญ่เขียนเพียงสั้นๆในแบบเดียวกับที่ศาสดาพยากรณ์ Isaiah ที่เป็นผู้ริเริ่มดังกล่าวมาข้างต้น. ดูเหมือนว่านักบุญแม็ทธิวและนักบุญลูคเท่านั้น ที่ได้ตีความหมายของคำพยากรณ์ของ Isaiah ด้วยการแจกแจงรายละเอียดของการสืบเชื้อสายของพระเยซูแห่งนาซาเร็ธอย่างเป็นระบบ. ศิลปินได้อาศัยความเข้าใจจากคัมภีร์ใหม่ทั้งสองเล่มของสองนักบุญผู้เป็นอัครสาวกของพระเยซูดังกล่าว, ถ่ายทอดออกมาเป็นภาพต้นไม้เจสซีให้ประจักษ์แก่สายตาสามัญชนว่า พระเยซูแห่งนาซาเร็ธมีสายเลือดที่เข้มข้นที่ศาสดาพยากรณ์ได้ทำนายไว้ ว่าจะมาเป็นผู้ไถ่บาปให้แก่มนุษยชาติ.
       ประเด็นสำคัญที่สุดในการเนรมิตรภาพต้นไม้เจสซี คือการถ่ายทอดและยืนยันคำพยากรณ์ของศาสดาผู้เผยวัจนะในคัมภีร์เก่า, ว่าได้มาเป็นความจริงในคัมภีร์ใหม่ในตัวพระเยซูแห่งนาซาเร็ธเพราะ พระเยซูแห่งนาซาเร็ธเป็นเชื้อสายของกษัตริย์เดวิด  และเพราะ พระเยซูแห่งนาซาเร็ธเกิดโดยไม่มีบาปกำเนิด และพระแม่มารียังคงความเป็นสาวพรหมจรรย์(Immaculate conception). นี่คือจุดยืนที่คริสต์ศาสนาต้องการปลูกฝัง พร้อมทั้งยกระดับคุณธรรมกับตัวตนของพระแม่มารี(mariology). การเลือกบุคคลมาลงไว้ในต้นไม้เจสซี, วัดจึงอาจเจาะจงให้ศิลปินมุ่งไปทางเครือญาติสายของพระแม่มารีมากกว่า. ต้นไม้เจสซีณจุดเริ่มต้นของมันนั้น คือการเสนอภาพการสืบเชื้อสายของตระกูล และโดยปริยายคือต้นไม้แห่งชีวิต. ในตะวันออกกลาง ต้นไม้เจสซี มีมาแล้วตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 และที่ 6 แต่ไม่มีหลักฐานเหลือมายืนยัน.


วิวัฒนาการของภาพต้นไม้เจสซีในคริสต์ศิลป์
      ภาพต้นไม้เจสซีที่เก่าที่สุด เชื่อว่าคือภาพที่ปรากฏในจารึก Codex Vyssegradensis ที่เป็นคัมภีร์ทำขึ้นถวายพระเจ้า Vratislaus II แห่ง Bohemia ผู้ขึ้นครองโบฮีเมียในปี 1085. ภาพนั้นมีปีกำกับไว้คือปี 1086. เจสซี นอนอยู่, มีต้นไม้โผล่สูงขึ้นจากหว่างขาของเขา. ศาสดา Isaiah ยืนอยู่ใกล้ๆเจสซี แผ่ม้วนกระดาษที่เขียนคำทำนายของเขาไปรอบตัวเจสซี. บนกิ่งไม้สูงขึ้นไป ก็มีม้วนกระดาษจารึกข้อความคำทำนายของ Isaiah.  ดังนั้นภาพแรกของต้นไม้เจสซี ไม่ปรากฏมีภาพใครคนอื่นใด นอกจากเจสซีและศาสดา Isaiah เท่านั้น.   
      เล่ากันมาว่า ในราวปี 1097 Guillaume Tournay (Tournai) ได้เชิงเทียนทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ (ที่แยกเป็นเจ็ดแขนง เรียกเชิงเทียนแบบยิวนี้ว่า menorah) จากตะวันออกกลาง เป็นที่ชื่นชอบกันมาก และอาจไปกระตุ้นจินตนาการศิลปินให้สร้างสรรค์ภาพต้นไม้เจสซี. ไม่มีภาพเชิงเทียนดังกล่าวในยุคนั้นมายืนยัน แต่สองภาพข้างล่างนี้ อาจช่วยความเข้าใจได้ดีขึ้น.  
ภาพตัวอย่างจาก commons.wikimedia  
ภาพนี้มีกำกับไว้ว่ามาจาก titeflamme.vefblog.net  
ที่อาจช่วยให้มโนว่า เชิงเทียนรูปต้นไม้เป็นอย่างไร
และคงไม่ใช่อันแบบนี้ที่เข้าสู่ยุโรปในยุคปลายศตวรรษที่ 11
       นักประวัติศาสตร์ศิลป์กล่าวว่า ประติมากรรมจำหลักที่ประดับกำแพงด้านทิศตะวันตกของโบสถ์เมือง Orvieto [อ๊อรฺวีเอโตะ] (ในตอนใต้ของอิตาลี), วิธีการนำเสนอด้วยการใช้ต้นไม้เป็นแกนกลางเล่าเรื่องในคัมภีร์, น่าจะทำให้ศิลปินเห็นดีในการนำภาพต้นไม้มาจัดแสดงการสืบเชื้อสายของพระเยซู(และโดยปริยายของพระแม่มารีแห่งนาซาเร็ทด้วย). เนื้อหาที่นำเสนอบนกำแพงที่นั่น จัดแบ่งเล่าเป็นสองข้างแกนกลางที่เหมือนลำต้นต้นไม้, เป็นกิ่งไม้เกี่ยวไขว้สูงขึ้น.  ภาพเล่าจากซ้ายไปทางขวาบน “กิ่ง” ระดับเดียวกัน และจากล่างขึ้นไประดับบน. ดูภาพตัวอย่างจากโบสถ์ Orvieto (เริ่มสร้างในปี 1290 และแล้วเสร็จในปี 1330)
ภาพบนนี้เป็นภาพต้นไม้เจสซี ตัวเจสซีเห็นเพียงลางๆเท่านั้นอยู่เกือบติดขอบล่าง 
ที่มีแผ่นปลาสติกใสปกคลุมอยู่. การถ่ายภาพผ่านแผ่นปลาสติกนั้น จึงไม่ชัดเจนนัก 
เพราะวันเวลาทำให้ปลาสติกใสน้อยลง
ส่วนภาพนี้ เล่าตอนพระเจ้าสร้างโลก เนรมิตมนุษย์คู่แรก 
อาดัมกับอีฟถูกขับออกจากสวรรค์ ทำงานเพาะปลูกหาเลี้ยงชีพ ฯลฯ
      ตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว ลักษณะต้นไม้ที่ยืนเด่น สง่า สูงขึ้นสู่ท้องฟ้า, แตกกิ่งก้านสาขาออกไปรอบตัว, ศักยภาพในการเติบโตให้ดอกให้ผล, การผลิกิ่งใหม่ๆอยู่เสมอฯลฯ   ยืนยันพลังอำนาจของราก ของลำต้น ทั้งยังอาจกระตุ้นจินตนาการของคนให้เข้าถึงความลึกลับต่างๆภายในระบบชีวิตของต้นไม้ทั้งในแนวลึก แนวตั้งและแนวนอน. ต้นไม้จึงเป็น “สะพาน” เป็น “บันได” ที่เชื่อมนัยได้หลายระดับ. ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 หัวข้อต้นไม้เจสซีแพร่กระจายออกไปทั่วคริสต์จักร. ศตวรรษที่ 13 และโดยเฉพาะในระหว่างศตรรษที่ 15 และ16  ต้นไม้เจสซี เป็นหัวข้อที่นิยมกันมากที่สุดหัวข้อหนึ่งในหมู่ศิลปิน.
     จากภาพเก่าที่สุดที่กล่าวถึงข้างบนนี้ เจสซีนอนอยู่ ใกล้ขอบล่างของภาพ, บนพื้นบางทีบนเตียง(เช่นในศิลปะฝรั่งเศส). น้อยนักจะนั่งหรือยืน. ต้นไม้ที่โผล่ขึ้นจากหน้าอก (บางทีจากปาก) ไม่เจาะจงแน่ชัดว่าเป็นต้นไม้พันธุ์อะไร. บางครั้งใช้ต้นองุ่น แต่โดยมากเป็นต้นไม้ที่เนรมิตขึ้น มีใบไม้ดกงาม ดอกไม้และผลไม้ (ที่วาดไว้เพื่อตกแต่งให้ต้นไม้นั้นสวย).  ในศตวรรษที่ 15-16  ต้นไม้เหมือนธรรมชาติจริงมากขึ้น. บนกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ ประดับด้วยภาพกษัตริย์แห่งจูดา-บรรพบุรุษของพระเยซู, เป็นรูปครึ่งตัวหรือเต็มตัว. จำนวนบรรพบุรุษ มากพอเหมาะกับพื้นที่ที่มี. บนกิ่งสุดท้ายเหนือใจกลางดอกไม้, ท่ามกลางแสงสว่างสุกปลั่ง คือพระแม่มารีในชุดงามหรูแบบราชินี อุ้มพระเยซูองค์น้อยในแขน.
    ในหมู่บรรพบุรุษของพระเยซู ที่จำกันได้ทันทีคือกษัตริย์เดวิดผู้ถือพิณในมือ (เพราะรู้กันว่าเป็นผู้ดีดพิณได้ไพเราะยิ่งนัก ที่กล่อมเกลาจิตใจคนและเปลี่ยนอารมณ์รุนแรงให้ผ่อนคลายลงได้. นักดนตรีสมัยปัจจุบัน ผู้เล่นดนตรีเก่งมาก, คนจึงมักเทียบไปถึงกษัตริย์เดวิดในคัมภีร์. เช่น นักไวโอลิน David Oistrakh, 1908-1974 ชาวโซเวียตเป็นต้น) และกษัตริย์โซโลมอนผู้สวมชุดหรูแบบตะวันออก (บางทีเห็นพร้อมหนังสือเล่มหนึ่ง ที่โยงไปถึงงานนิพนธ์ของโซโลมอนที่รวมอยู่ในคัมภีร์เก่าฉบับฮีบรู เช่น Proverbs, Cantique des Cantiques ฯลฯ รวมกันใน Ecclesiastes). ปกติมักมีชื่อกำกับไว้ในภาพ. บางครั้งในระหว่างศตวรรษที่ 15-16 ภาพต้นไม้เจสซีเพิ่มความหลากหลายขึ้นมาก บางทีกษัตริย์ทั้งหลายที่แทรกเข้าไป ถือเครื่องดนตรีในมือด้วย. ในที่สุดเหมือนวงคอนเสิร์ตรอบๆพระมหาไถ่, สรรเสริญการกระทำของพระองค์. นอกจากบรรพบุรุษ บางทีก็มีบุคคลอื่นแทรกเพิ่มเข้าไป เช่นคหบดี ปราชญ์ หญิงหมอดู(sybyl) เทวทูตเป็นต้น. ในศิลปะไบแซนไทน ยิ่งมีองค์ประกอบเพิ่มขึ้นมาก. ดังตัวอย่างจากเฟรสโก้ที่วัด Monastery Sucevita ในโรเมเนียที่อยู่ต้นเรื่องนี้.  กลายเป็นเอกลักษณ์แบบหนึ่งในศิลปะประดับวัดนิกาย orthodox. ยังมีฉากเหตุการณ์ในคัมภีร์ใหม่, บางทีมีพระบิดา และพระจิตอยู่เหนือคนทั้งกลุ่ม. (ตัวอย่าง retable เมือง Burgos ในประเทศสเปน ต่อไปภาพข้างล่างนี้). หรือมีพระเยซูคนเดียวณตำแหน่งสูงสุดของภาพ. ถ้าเป็นพระเยซูในวัยหนุ่มฉกรรจ์ มักมีนกสีขาวเจ็ดตัวล้อมรอบเหนือศีรษะเพื่อสื่อถึงพรประเสริฐเจ็ดประการของพระเจ้า ดังที่อธิบายมาข้างต้น. (les 7 dons du Saint-Esprit)  
         กิริยาท่าทางของเหล่าศาสดาพยากรณ์ (prophets) หรือบรรพบุรุษคนใดคนหนึ่ง ก็เปลี่ยนไปด้วย. จากเดิมที่นิ่งอยู่กับที่ ใบหน้านิ่งขรึมเหมือนกันทุกคน, กลับดูมีชีวิตชีวามากขึ้นในยุคหลังๆ(ศตวรรษที่ 16) สมจริงในมโนทัศน์ของสามัญชน. ใบหน้าของบุคคลบนต้นไม้เจสซีนั้น มักเป็นใบหน้าของคนจริงในยุคนั้น, หรือบางทีของศิลปินเอง.  แบบเสื้อผ้าของบุคคลเหล่านั้น ก็หรูหรา. ตัวอย่างต้นไม้เจสซี ที่ปรากฏตามโบสถ์ต่างๆในฝรั่งเศส เช่นศิลปะสมัยศต.ที่ 12-16. กรอบที่ใช้เสนอตัวบุคคลหรือเหตุการณ์ มักเป็นรูปวงกลมๆรีๆ ในที่สุดจึงไกลจากลักษณะของต้นไม้ เช่นเฟรสโก้ในโรเมเนีย  มีบางแห่งเท่านั้นที่เป็นผลงานยุคศต.ที่ 12 และ13 ที่ยังคงรูปต้นไม้ไว้
ภาพข้างบนนี้เป็นจิตรกรรมน้อยในจารึก Psautier de Scherenberg
ของเมือง Strasbourg ในฝรั่งเศส ผลงานในราวปี 1260
ต้นไม้โผล่ขึ้นจากหลังของเจสซี. ในวงกลมเหนือเจสซี พระแม่มารีกับพระเยซูองค์น้อย.
มีภาพของศาสดาพยากรณ์สี่คน ที่ถือม้วนกระดาษจารึกคำทำนายของพวกเขา. 
ไม่มีภาพของบรรพบุรุษคนใดเลย (ภาพจาก commons.wikimedia)


งาช้างจำหลักเป็นต้นไม้เจสซีที่ง่ายและสั้นที่สุด
เชื่อมเจสซีที่นอนอยู่กับพระแม่มารีและพระเยซูองค์น้อยทันที
สองข้างมีศาสดาพยากรณ์ มือถือม้วนกระดาษ
เนรมิตศิลป์ที่เป็นงาช้างนี้ทำขึ้นในราวปี 1200 ที่โบสถ์เมือง Bamberg ในเยอรมนี
ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Le Louvre กรุงปารีส
เจสซีนอนบนเตียง ต้นไม้โผล่จากกลางตัวของเจสซี
เหนือขึ้นไปบนแกนตรงของลำต้นไม้, กษัตริย์เดวิดมีเครื่องดนตรีในมือ, เหนือขึ้นไปคือ
กษัตริย์โซโลมอน, ขึ้นไปอีกคือพระแม่มารีและบนสุดคือพระเยซู. สองข้างของภาพมีศาสดาพยากรณ์สี่คน. ตอนบนสองข้างพระเยซู มีเทวทูตคุกเข่าคำนับอยู่. (จิตรกรรมน้อยภาพนี้มาจาก commons.wikimedia ไม่ปรากฏนามผู้ทำ)
       การนำเสนอหัวข้อต้นไม้เจสซีในประติมากรรม อาจเป็นหิน, ไม้หรืองาช้าง, ผลิตภัณฑ์โลหะ, เป็นทองสัมฤทธิ์ ทองเหลืองเป็นต้น. ส่วนจิตรกรรมเนื้อหานี้ เช่นจิตรกรรมกระจกสี, จิตรกรรมบนแผ่นไม้หรือบนกระจก, จิตรกรรมน้อยประดับหนังสือสวดฯลฯ. ภาพเนื้อหานี้ มีบทบาทสำคัญในการตกแต่งประดับศาสนสถาน. ประดับบนหน้าบันหรือส่วนใดส่วนหนึ่งบนกำแพงของโบสถ์. ในศตวรรษที่ 15 จนถึงยุคเรอแนสซ็องส์ เคยเป็นแบบประดับด้านหน้าของคฤหาสน์ส่วนตัวของชนชั้นสูงและคหบดีผู้ร่ำรวย.  การเนรมิตภาพจะยังคงมีต่อไป แต่เริ่มน้อยลงในศตวรรษที่16 เมื่อเกิดการแบ่งแยกในคริสต์ศาสนาตะวันตก ออกเป็นนิกายคาทอลิกและนิกายโปรแตสแตนต์ (cf. Reformation, Counter-Reformation). จงพิจารณาดูภาพต้นไม้เจสซีแบบต่างๆกันดังต่อไปนี้ 
จิตรกรรมน้อยประดับในหน้าหนังสือคัมภีร์ของคณะนักบวชกาปูแซ็ง (la Bible des Capucins) ผลงานในราวปี 1180 ปัจจุบันอยู่ที่หอสมุดแห่งชาติ (Paris, BNP, MS Lat 16747, f.7v.) บรรพบุรุษหลักๆสองคนที่คัมภีร์นี้เน้นคือ กษัตริย์เดวิดและกษัตริย์โซโลมอนเท่านั้น. เหล่าศาสดาพยากรณ์ มีกิริยาท่าทางต่างๆกัน. ให้สังเกตด้วยว่า รอบๆศีรษะของคนหนุ่มบนสุด(พระเยซู) มีนกสีขาวเจ็ดตัว ที่หมายถึงคุณสมบัติอันประเสริฐเจ็ดประการดังที่อธิบายมาข้างต้น. 
จิตรกรรมน้อยนี้ ไม่มีภาพของศาสดาพยากรณ์แทรกไว้. ทั้งหมดเป็นบรรพบุรุษ. ในภาพบนนี้มีเก้าคน สวมมงกุฎ ไม่มีรูปของพระแม่มารีและพระเยซู ซึ่งนับว่าแปลกผิดขนบศิลป์. 
ส่วนภาพนี้ใช้ต้นองุ่น มีพวงองุ่นเห็นชัดในครึ่งภาพล่าง. พระแม่มารียืนอุ้มพระเยซูองค์น้อย มีวงแสงล้อมศีรษะที่เห็นรังสีกระจายออกสีเหลืองๆชัดเจน. ทางขวากษัตริย์เดวิดกำลังดีดพิณ เดวิดคนเดียวที่สวมมงกุฎ, นอกนั้นสวมหมวกทรงสูง. ภาพนี้เจาะจงไว้ว่าจาก จิตรกรรมน้อย Enluminure Wittert สมบัติของมหาวิทยาลัยแห่งเมือง Liège [ลีแอ๊จฺ](ในประเทศเบลเยี่ยมปัจจุบัน). ดูประมวลภาพได้ใน Wikipedia หัวข้อเรื่อง Arbre de Jessé.


จิตรกรรมน้อยอีกแบบหนึ่งที่ประดับหนังสือสวด(ศตวรรษ14) เจสซีนั่งบนเก้าอี้ ต้นไม้โผล่ขึ้นจากหน้าอก แต่ละคนในภาพ ถือคทา-สัญลักษณ์กษัตริย์ ไม่มีศาสดาพยากรณ์คนใดเลย. พระแม่มารีอุ้มพระเยซู อยู่เหนือดอกลิลลีขาว-สัญลักษณ์ของความบริสุทธ์ไร้ราคี. 

ภาพแบบไอคอนตามขนบนิยมของนิกาย orthodox. ในยุคศตวรรษที่16 และ17 เท่ากับยืนยันว่าศิลปะในยุโรปตะวันออก ยังสืบทอดขนบนิยมของกรีซ. ภาพนี้เป็นผลงานของ Michael Damaskenos (จิตรกรจากเกาะ Crete ผลงานในศตวรรษที่ 16). ต้นองุ่นแตกกิ่งก้านสาขาโผล่ขึ้นจากตรงกลางภาพ. มีคนสองคนครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่สองข้างต้นไม้ (แทนที่จะเป็นคนเดียว จิตรกรยังคงกำกับว่าเจสซี แต่ไม่มีเจสซี มีศาสดาพยากรณ์สองคนขนาบสองข้างต้นไม้แทน).  พระแม่มารีกับพระเยซูองค์น้อย โผล่ขึ้นตรงกลางลำต้น. จิตรกรได้เจาะจงชื่อว่าเป็นเชื้อสายของพระเยซู. เขารวมศาสดาพยากรณ์บางคนเข้าไปด้วยดังนี้ ในระดับล่างสุดสองแขนงซ้ายขวาคือ David กับ Solomon, เหนือขึ้นไปเป็น Daniel กับ Elisha, เหนือขึ้นไปเป็น Gideon กับ Abraham, เหนือขึ้นไปเป็น Zephaniah กับ Moses, และในวงเล็กสี่วงเหนือสุด คือ Jeremiah, Jacob, Malachi และ Aaron. (ดูรายละเอียดเกี่ยวกับภาพนี้ได้ที่ https://www.flickr.com/photos/peapicker/2244757543 )

อีกแบบหนึ่งในศตวรรษที่ 15 ในยุโรปตะวันตก ผลงานของ Geertgen tot Sint Jans (หรือ Gérard de Saint-Jean, 1465-1495 ชาวเฟลมมิช) ที่ผิดไปจากแบบต่างๆ. ทางซ้ายที่ปลายเท้าของเจสซี มีสตรี(เด็กสาว)นุ่งห่มขาวคนหนึ่งคุกเข่าในท่าครุ่นคิด ชายคนหนึ่งยืนอยู่หลังสตรี เงยน่าชื่นชมต้นไม้ในมโนทัศน์ของเขา (น่าจะเป็นสามี/บิดาของเธอ), นักบวชยืนอยู่ด้านขวา ถือหนังสือหนึ่งเล่มที่เปิดอ้าออก. สามคนนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับต้นไม้เจสซี, ไม่ได้เป็นหนึ่งในบรรพบุรุษของพระเยซู แต่เป็นคนในยุคศตวรรษที่ 15 ที่แทรกเข้าไปในภาพต้นไม้เจสซี เพื่อบอกว่า คู่สามีภรรยานี้ เป็นผู้สั่งภาพและทั้งสองปลาบปลื้มไปกับหัวข้อต้นไม้เจสซี, ตามที่นักบวชกำลังชี้ให้เห็นว่า มีเรื่องต้นไม้เจสซีเล่าไว้ในพระคัมภีร์. ตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 15 ผู้คน(ชนชั้นสูงหรือคหบดีผู้ร่ำรวยที่สั่งวาดภาพ) สนใจให้แทรกตัวตนของพวกเขาเข้าไปในภาพศาสนาด้วย. ภาพนี้ยังให้รายละเอียดของนกหลายตัว เช่นนกยูงที่เป็นสัญลักษณ์ของศักดิ๋ตระกูลสูง. เนื้อหาของภาพมีสวนเป็นฉากหลัง อากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใส. จิตรกรรมเฟลมมิช ขึ้นชื่อในเรื่องการเสนอภาพธรรมชาติ ภูมิประเทศและต้นไม้ว่าละเอียดสมจริงที่สุด.

ที่มหาวิหาร Saint-Denis อยู่ทิศเหนือนอกกรุงปารีส มีหน้าต่างกระจกสีทรงกลมเรียกเป็นหน้าต่างดอกกุหลาบ (Rose window) ณทิศเหนือ เสนอจิตรกรรมบนกระจกสีหัวข้อต้นไม้เจสซี. เจสซีห่มแดงเป็นจุดใจกลางของหน้าต่างวงกลมนี้ แตกแขนงออกไปรอบวงทั้งหมด 24 แฉก. เหนือจุดใจกลางที่มีเจสซีนอนอยู่, ตรงขึ้นไปมีพระแม่มารีกับพระเยซูองค์น้อย ที่มีลวดลายสีแดงเป็นลำแสงแบบเปลวไฟประดับ. ความที่อยู่สูงมากยากที่จะเห็นรายละเอียดชัดๆ. หน้าต่างกระจกสีพร้อมภาพเล่าเรื่องในคัมภีร์ เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของศิลปะกอติค ที่เริ่มต้นขึ้นในฝรั่งเศส และที่ Saint-Denis ก่อนที่ใด, ภายใต้การนำของเจ้าอาวาส Suger (1081-1151). เครดิตภาพ : DAVID ILIFF, 17 เมษายนปี 2015 (License: CC-BY-SA 3.0 via wikipedia).

ที่โบสถ์ Notre-Dame de Chartres มีหน้าต่างบานสูงใหญ่ ด้านทิศเหนือ
เสนอหัวข้อต้นไม้เจสซี, เนรมิตขึ้นในปี 1145, ติดตั้งในระหว่างปี 1205-1240
บูรณะซ่อมแซมในศตวรรษที่ 13 และในศตวรรษที่ 19

บนเพดานไม้พื้นราบ ประดับด้วยภาพชุดต้นไม้เจสซี
ในวัด Michaeliskirche เมือง Hildesheim ประเทศเยอรมนี. เนรมิตขึ้นในราวปี 1230. เป็นวัดตามแบบศิลปะโรมาเนสก์ตอนต้น. เครดิตภาพ : Longbow4u, 20 กรกฎาคมปี 2005 (จากวิกิพีเดีย). เดิมเป็นวัดคาทอลิก ต่อมาชาวเมืองเปลี่ยนไปนับถือนิกายโปรแตสแตนต์ในปี 1542วัดนี้จึงกลายเป็นวัดลูเธอเริน (Lutheran church) มาจนถึงปัจจุบัน. สังเกตได้ว่า ภายในวัดและที่บริเวณหัวโบสถ์โดยเฉพาะ ไม่มีสิ่งตกแต่งประดับประดาแบบอลังการใดๆ, มีเพียงไม้กางเขน และแท่นบูชาประกอบพิธีเท่านั้น. ความเรียบง่ายที่ดูสงบ สง่าและขรึม เป็นเอกลักษณ์ของวัดนิกายโปรแตสแตนต์.
ภาพเพดานไม้ประดับด้วยหัวข้อต้นไม้เจสซีเหนือทางเดินแกนหลัก
ของวัด Michaeliskirche เมือง Hildesheim 

ประติมากรรมหัวข้อต้นไม้เจสซี เพื่อประดับวัดก็ทำกันมากทีเดียว. ตัวอย่างที่เห็นในภาพข้างบน ปัจจุบันไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ Musée de l’hospice Saint-Roch ที่เมือง Issoudun จังหวัด Indre ประเทศฝรั่งเศส. พิพิธภัณธ์ที่นั่นสถาปนาขึ้นในศตวรรษที่ 12 และสร้างบูรณะขึ้นใหม่ในศตวรรษที่15. ในยุคนั้นใช้เป็นสถานพยาบาล มีวัดเล็กหนึ่งหลังและโรงผลิตยารวมอยู่ในบริเวณกว้างใหญ่นั้นด้วย. ยังเป็นศูนย์รวมเนื้อหาของต้นไม้เจสซีทุกรูปแบบ และประติมากรรมยุคศตวรรษที่ 8-15. ปัจจุบันพื้นที่ทั้งหมดขึ้นกับพิพิธภัณฑ์ และใช้เป็นที่จัดนิทรรศการศิลปะสมัยใหม่เป็นครั้งเป็นคราวตามวาระต่างๆ. เครดิตภาพ : Maniac Parisien ถ่ายไว้เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมปี 2013 ปรากฎใน commons.wikimedia

ภาพต้นไม้เจสซีอีกตัวอย่างหนึ่ง เป็นศิลปะเหล็กดัด ประดับตอนบนของประตูเหล็ก
ที่ปิดบริเวณหัวโบสถ์ที่มหาวิหารเมือง Sevilla [เซวี้ยา]  ประเทศสเปน

ประติมากรรมหัวข้อต้นไม้เจสซีที่โดดเด่นที่สุด คงต้องไปดูที่โบสถ์เมือง Burgos [บู๊รฺโก้ซ]ในประเทศสเปน. เป็นฉากไม้ขนาดใหญ่ที่ตั้งเป็นฉากเบื้องหลังแท่นบูชาในวัดที่อุทิศแด่นักบุญแอน(Anna มารดาของพระแม่มารีที่อยู่ภายในโบสถ์ใหญ่เมืองBurgos. ฉากสูงขึ้นจรดเพดาน, เป็นผลงานของ Gil de Siloe และตกแต่งเคลือบสีโดย Diego de la Cruz. ทั้งสองคนกับสถาปนิกอีกสองคนของโบสถ์นี้ (คือ Jean & Simon de Cologne) มาจากดินแดนในภาคเหนือของยุโรป จึงได้นำรูปแบบและแนวการก่อสร้างแบบใหม่ (hispano-flamand) ไปเผยแพร่ในประเทศสเปน  (ดูรายละเอียดเพิ่มเติม )
 ฉากตั้งหลังแท่นบูชา (retable) เป็นไม้จำหลักอย่างประณีต
ที่โบสถ์เมือง Burgos [บู๊รฺโก้ซ] ประเทศสเปน
เจสซีนอนหลับสบายบนเตียง ต้นไม้ที่มีรากทั้งใหญ่และเล็ก โผล่ขึ้นจากกลางหน้าอกของเขา และแผ่กิ่งก้านขึ้นสูงไปจนถึงยอดต้นไม้ ที่มีพระแม่มารีนั่งอยู่. รอบนอกของฉาก ยังมีประติมากรรมขนาดเล็กๆอีกจำนวนหนึ่ง, เล่าเหตุการณ์สำคัญๆหรือบุคคลสำคัญๆในชีวิตของพระแม่มารีด้วย. รวมทั้งตอนล่างใต้รูปปั้นนอนของเจสซี ก็มีฉากการฟื้นคืนชีวิตของพระเยซู ฯลฯ
เหนือตัวเจสซีขึ้นไป เป็นจุดดึงดูดสายตา. ตรงกลางของฉากใหญ่นี้ มีชายหญิงคู่หนึ่ง เดินทางไปพบกัน ทักทายกันอย่างสนิทสนม. คนคู่นี้คือ Joachim กับ Anna บิดามารดาของพระแม่มารี. ฉากนี้เล่าเหตุการณ์ในคัมภีร์ว่า พระเจ้าส่งคนไปบอก Joachim ให้เดินทางไปพบ Anna ภรรยาณประตูทองของเมือง และบอกว่า เขาทั้งสองจะมีลูก. โจอาคิมและอันนา แต่งงานด้วยกันมานานจนแก่เฒ่า แต่ไม่มีลูกด้วยกัน. ต่างเศร้าโศกเสียใจว่าพระเจ้าไม่ทรงโปรด, จนถึงวาระนั้น พระเจ้าจึงมาบอกว่า ทั้งสองจะมีลูกผู้หญิงตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า. ทั้งสองยืนอยู่ภายในกรอบประตูทอง, มีกิ่งก้านของต้นไม้เลื้อยไปถึงแทบเท้าของทั้งสอง เพื่อบอกว่า คนทั้งสองก็เป็นเชื้อสายของเจสซี. รอบๆกรอบประตู มีรูปปั้นขนาดเล็กแทนกษัตริย์ 12 องค์แห่งจูดา (จูดาเป็นหนึ่งใน 12 เผ่าที่รวมกันเป็นประชาชาติอิสราเอล. แคว้นจูดามีอาณาเขตกว้างไกลที่สุด). ตระกูลสายจูดานี้ คือสายเดียวกับปู่ย่าและพ่อของเจสซี ผู้ให้กำเนิดเดวิดหรือกษัตริย์เดวิด ผู้เป็นบิดาของกษัตริย์โซโลมอน และเรื่อยลงมาถึงพระเยซู.  
เหนือขึ้นไปในบล็อกตรงกลาง พระแม่มารีนั่งอยู่เหนือปลายบนของกิ่งไม้ที่มีดอกและใบไม้สวยงาม. ด้านหลังมีฉากหรือบัลลังก์สลักเสลาสวยงามมารองรับ. พระแม่มารีอุ้มพระเยซูองค์น้อยไว้บนตัก. มือข้างหนึ่งของพระเยซูจับอยู่ที่ไม้กางเขนที่วางตั้งอยู่บนหนังสือที่เปิดอ้าออก(เพื่อบอกว่าพระองค์เป็นผู้มาเผยแผ่คำสอนของพระเจ้า และเพราะภารกิจเช่นนั้น จึงจะตายบนไม้กางเขน). รูปปั้นสตรีที่อยู่ข้างบัลลังก์ทางซ้าย เป็นภาพลักษณ์ของโบสถ์ในระบบสัญลักษณ์ยุคกลาง, ที่ว่าโบสถ์เป็นสตรี. ศิลปินเสนอภาพสตรีผู้มีศรัทธาแก่กล้าในพระเจ้า, มือขวาถือไม้ด้ามยาวตั้งขึ้นสูง ปลายบนประดับด้วยไม้กางเขน, มือซ้ายถือถ้วยบรรจุน้ำมัน ซึ่งแทนตะเกียงส่องทาง, ผู้ที่เชื่อและศรัทธาในพระเยซูคริสต์ จึงเหมือนมีผู้นำทางที่ดี. ส่วนรูปปั้นสตรีทางขวามือ มีผ้าปิดตา, มือขวากำไม้เท้าที่หักลง และมือซ้ายจับแผ่นศิลาจารึกคำสอนของพวกยิว, ตาที่มีผ้าปิดทำให้มองไม่เห็นทาง, เป็นภาพลักษณ์ของวัดยิวซีนาก๊อก. เน้นบอกนัยว่า ชาวยิวนอกรีต เหมือนเดินไปในทางมืด. รูปปั้นทั้งสองเพื่อสื่อการสืบทอดศาสนา ว่ามีผู้ติดตามผู้จักเดินทางไปในแสงสว่าง และมีพวกนอกรีตผู้เดินไปในความมืด มองไม่เห็นแสงธรรม.
ตอนบนของฉาก พระเยซูบนไม้กางเขน บนเพดานมีรูปดวงอาทิตย์ด้านซ้ายของภาพ และดวงจันทร์อยู่ด้านขวา. บนกำแพงใต้แนวโค้งมุมแหลมมีภาพวาดของโจรสองคนที่ถูกตรึงไม้กางเขนจนตายในวันเวลาเดียวกับพระเยซูบนเขา Golgotha นอกกำแพงเมืองเยรูซาเล็ม. ด้านซ้ายมีรูปปั้นของพระแม่มารี. ด้านขวาเป็นรูปปั้นของจอห์น. ในระบบสัญลักษณ์ของคริสต์ศาสนา ไม้กางเขนที่ตั้งสูงบนเนินเขา Golgotha นั้น ยังโยงไปถึงภาพของต้นไม้โลก ที่เป็นแกนของโลก, แกนของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า, และโดยปริยายเชื่อมโยงไปถึงแกนของจักรวาวาล. กะโหลกศีรษะที่อยู่ใต้ไม้กางเขน เน้นสถานภาพของคนที่ต้องตาย. กะโหลกศีรษะเป็นส่วนสูงสุดของร่างกาย จึงอาจโยงเป็นนัยเปรียบไปยังยอดของต้นไม้หรือยอดเขา. ภาพนี้จึงรวมสองสัญลักษณ์เข้ากับแกนกลางของโลก. ภาพไม้กางเขนยังสะท้อนให้นึกไปถึงจุดสูงสุดของจักรวาลด้วย. ต้นไม้และไม้กางเขน เตือนให้ระลึกถึงการตกยาก ออกจากสวรรค์ของอาดัมละอีฟ, การทุกข์ทรมานของพระเยซู, การไถ่บาปให้มนุษยชาติ, การฟื้นคืนชีวิตและการขึ้นสู่สวรรค์ของพระคริสต์. ความตายของพระเยซู ทำให้มีการเกิดใหม่ และเข้าไปสู่แสงสว่างใหม่. สำหรับชาวคริสต์ เนื้อหาารฟื้นคืนชีวิตของพระคริสต์ นำไปสู่ความเชื่ออย่างแน่วแน่ของชีวิตนิรันดร์ว่ามีอยู่จริง...

     นักประวัติศาสตร์ศิลป์สรุปไว้ว่า ศตวรรษที่ 13 เป็นยุคเจริญสูงสุดของหัวข้อต้นไม้เจสซี  แล้วทุกอย่างก็ถดถอย ช้าลงๆไปจนถึงกึ่งศตวรรษที่ 14 ที่หัวข้อนี้หยุดชะงักไป. ในจารึกของยุคสมัยก็กล่าวถึงน้อยมาก, กลับมาอีกครั้งในต้นศตวรรษที่ 15 และแพร่หลายออกไปจนปลายศตวรรษ. มีการผลิตงานศิลป์หัวข้อนี้อย่างจริงจังและมีมาตรฐานดีในรูปแบบของจิตรกรรมกระจกสีและในหนังสือแผ่นหนังที่เขียนด้วยมือ. ภาวะอันแข็งขันนี้สืบทอดต่อตลอดครึ่งแรกของศตวรรษที่ 16 ที่ไม่เพียงแต่นิยมกันในศิลปะการทำกระจกสี ยังขยายอกไปยังศิลปะในรูปแบบอื่นๆด้วย.  
      การกำหนดพื้นที่สำหรับภาพต้นไม้เจสซี ได้เปิดโอกาสให้นำวัสดุอื่นๆมาใช้เป็นที่แสดง. เริ่มแรกเป็นการวาดภาพประกอบคัมภีร์ใหม่ของอัครสาวก Matthieu ตอนลำดับบรรพบุรุษของพระเยซู. ต่อมาถูกนำไปประดับหนังสือเชิงประวัติศาสตร์หรือหนังสือสารานุกรม. ตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 เป็นต้นมาได้ประดับในหนังสือที่เกี่ยวเนื่องกับพระแม่มารีมากขึ้นๆ เช่นหนังสือ Speculum humanae salvationis หรือหนังสือสวดมนต์. รูปลักษณ์ของต้นไม้เจสซีจึงปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับพื้นที่ที่จะไปประดับ เช่นในศตวรรษที่13 ต้นไม้เจสซียืดขึ้นในแนวสูง (เพราะประดับบนกระจกหน้าต่างเป็นต้น). แต่ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 13 หัวข้อนี้ได้ออกนอกกรอบของอักษรตัวต้นของหน้าหนังสือ (นั่นคือจิตรกรรมน้อยเริ่มด้วยการวาดภาพประกอบตัวอักษรตัวแรกของคำแรกที่ขึ้นต้นย่อหน้า ที่มักอยู่เป็นบรรทัดแรกของหน้านั้น), และเข้าไปอยู่ในใบไม้รูปดอกจิก(ใบ Clover), แล้วเป็นวงกลมๆรีๆ ก่อนที่จะขยายเป็นภาพลักษณ์ของต้นไม้พร้อมกิ่งก้านสาขาเต็มทั้งต้นในศตวรรษที่15 และนั่นกลายเป็นแบบถาวรของต้นไม้เจสซีตั้งแต่นั้นมา. การเปลี่ยนแปลงของรูปแบบของต้นไม้เจสซี ก็สอดคล้องกับวิวัฒนาการของการนำเสนอภาพบุคคลด้วย.
      ในระหว่างศตวรรษที่ 15 ภาพเจสซีเปลี่ยนจากท่านอนมาเป็นท่านั่ง เหมือนต้องการเน้นความเป็นคหบดีคนสำคัญในสังคมยุคนั้น. กิริยาท่าทางของพระคริสต์และพระแม่มารีก็เปลี่ยนไปพร้อมๆกัน แต่แยกกันในศิลปะระหว่างศตวรรษที่13-14นั้น.  แต่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ศิลปินจัดรูปแบบของทั้งสองคู่ไปด้วยกันเสมอ มิได้แยกออกจากกันอีกเลย. นอกจากนั้น จำนวนกษัตริย์ที่เคยมีไม่กี่คน เพิ่มขึ้นเป็น12คน. ศาสดาพยากรณ์หรือ prophets ที่หายไปจากหัวข้อต้นไม้เจสซีระหว่างศตวรรษที่13-14 นั้น, กลับมาแทรกเข้าในภาพต้นไม้เจสซี และไปอยู่สองข้างของเจสซี. ส่วนพระจิตนั้นหายไปจากภาพ. ในที่สุดต้นไม้เจสซี มีบุคคลอื่นๆเสริมเข้าไปมากขึ้นๆ ที่รวมถึงบิดามารดาของพระเยซู. แนวการสร้างภาพต้นไม้เจสซี จึงมีนัยสำคัญ นั่นคือการเน้นบทบาทและตำแหน่งของพระแม่มารีในกำเนิดของพระเยซู และในหมู่เครือญาติของพระองค์, จนในที่สุดความสำคัญของ ต้นไม้เจสซี เบนไปจากถ่ายทอดคำพยากรณ์ของศาสดา Isaiah ในคัมภีร์เก่า, ไปสู่การสืบเชื้อสายของพระแม่มารี เน้นความสำคัญของพระแม่มากขึ้นๆ  อันเป็นนโยบายหลักของนิกายคาทอลิก.
       หัวข้อต้นไม้เจสซีที่นำไปเป็นแบบประดับหน้าต่างกระจกสีนั้น เน้นการกระจายกิ่งก้านสาขาขึ้นไปในแนวตั้ง (ที่เริ่มขึ้นแล้วในฝรั่งเศสที่มหาวิหาร Saint-Denis ในศตวรรษที่12 และที่โบสถ์น็อตเตรอดามเมือง Chartres ในศตวรรษที่ 13) และเป็นส่วนหนึ่งของอาคารหรือของวัดที่อุทิศแก่พระแม่มารี. ผู้อุปถัมภ์หรือบริจาคเงินช่วยวัด  เจาะจงเลือกหัวข้อต้นไม้เจสซีประดับวัด. หัวข้อนี้จึงถูกยกระดับขึ้นสูง เพื่อเน้นความศรัทธาในตัวพระแม่มารี สรรเสริญการเกิดและการตั้งครรภ์ของพระแม่ไปด้วย เน้นความบริสุทธิ์ของพระแม่  การมาอวตารของพระคริสต์. นั่นคือยืนยันสถานะของพระแม่มารีในกระบวนการเกิดเพื่อไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ (cf. Mariology) 
      ต้นไม้เจสซีในฐานะที่สะท้อนโลกของพืชพรรณ จึงกระตุ้นให้นึกไปถึงไม้กางเขน (เป็นไม้ตัดจากลำต้นไม้). เช่นนี้จึงมีการเปลี่ยนภาพของพระแม่มารีอุ้มพระเยซูองค์น้อยบนยอดต้นไม้, ไปเป็นภาพพระเยซูบนไม้กางเขนแทน. เท่ากับเปิดมิติการอ่านภาพไปสู่การไตร่ตรองเรื่องการไถ่บาปและวกปิดเป็นวงจรจากเรื่องต้นไม้เจสซีในคัมภีร์เก่า สู่การตายของพระคริสต์บนไม้กางเขนในคัมภีร์ใหม่. ในมุมมองนี้ ต้นไม้เจสซีจึงเข้าใกล้ระบบภาพลักษณ์ของต้นไม้แห่งชีวิต. ไม้ที่ใช้ในการตรึงพระเยซู ก็ส่งอิทธิพลต่อไปยังการแสดงภาพของเครื่องคั้นองุ่น ที่มีพระเยซู เป็นผู้ถูกบีบถูกคั้น และเลือดที่ไหลลงในถังน้ำองุ่น จักเป็นไวน์ในพิธียูการิทเธีย (le pressoir mystique) ดังในภาพตัวอย่างข้างล่างนี้ (อ่านรายละเอียดที่นี่) 
ภาพแสดงความหมายนัยลึกของการบีบคั้นน้ำองุ่น. จิตรกรรมนี้ปรากฏใน Le Spiegel des Lindens Christi (ศตวรรษที่ 15, commons.wikimedia). อธิบายตามแนวศาสนาว่า เลือดที่หลั่งไหลจากตัวพระเยซู คือน้ำองุ่นที่ใช้ในพิธีศาสนาเจ็ดวาระในช่วงชีวิตของชาวคริสต์ตั้งแต่เกิดไปจนตาย ดังที่แสดงไว้ในภาพข้างบนนี้. 
ส่วนภาพจิตรกรรมบนกระจกสีเรื่อง Le Pressoir mystique  (มหัศจรรย์เครื่องคั้นองุ่น) ที่ประดับหน้าต่างบานสูงในวัดSaint-Etienne du Mont (ในห้อง salle des Cathéchismes, ศิลปะศตวรรษที่17) ที่กรุงปารีส (ภาพถ่ายของ Jebulon เมื่อวันที่ 26 เดือนมีนาคมปี 2011) ในภาพแสดงให้เห็นว่า เลือดที่หลั่งไหลจากตัวพระเยซู ไหลไปลงถังเก็บเหล้าองุ่นที่ฝูงคนทุกชนชั้นมารองไป.

     Séverine Lapape ผู้ศึกษาเรื่องต้นไม้เจสซีในศิลปะฝรั่งเศสตอนเหนือระหว่างศควรรษที่ 14-16 (Étude iconographique de l’Arbre de Jessé en France du Nord du XIVe siècle au XVIIe siècle, par Séverine Lepape. 2004. ดูรายละเอียดได้ที่นี่ได้สรุปว่า
<< หลังจากปี 1550 มา การสร้างภาพต้นไม้เจสซี ลดลงไปเรื่อยๆ และหยุดไปเลยในปี 1663 เหลือเพียงการนำเสนอในประติมากรรมและในการจิตรกรรมประดับหน้าต่างกระจกสีบ้างเท่านั้น. ภาพก็ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีอะไรเพิ่มขึ้นหรือเปลี่ยนแปลง. เจสซีในท่านั่งก็มีน้อยมาก. พระแม่มารีอุ้มพระเยซูองค์น้อย มีรูปแบบเหมือนพระแม่มารีในฐานะหญิงพรหมจรรย์ตามอุดมการณ์ของ Immaculate Conception. ต้นไม้เจสซี ดูจะกลายเป็นภาพนิ่งไปแล้ว. ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น. จากเหตุการณ์การปฏิรูปศาสนาหรือไม่,  จากปฏิกิริยาขององค์การศาสนา (Concile de Trente) หรือไม่, โดยทั่วไปนักประวัติศาสตร์ สรุปตรงกันว่าเป็นเช่นนั้น, เพราะทั้ง Martin Luther และ Jean Calvin มิได้ให้ความสำคัญใดๆแก่พระแม่มารี. พระแม่มารีมิได้เป็นราชินีในสรวงสวรรค์ ดังที่สันตะปาปาต้องการปลูกฝังในหมู่ชาวคริสต์ (และนี่คือประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่ง ที่ระบุจุดยืนและความแตกต่างระหว่างนิกายคาทอลิกกับนิกายโปรแตสแตนต์).  หากเป็นเช่นนั้นจริง, ทำไมต้นไม้เจสซี จึงหายไปในศิลปะของชาวคาทอลิกด้วยเล่า, ไม่มีการพูดถึงอีกเลย เหมือนหมดรักไยดีกับต้นไม้เจสซีไปแล้วในขณะเดียวกันนั้น ระบบเปรียบเทียบ เปรียบโยงที่เป็นวิถีการคิดวิเคราะห์ที่ฝังแน่นในกระบวนการเรียนรู้ของคนยุคกลาง ก็พลอยยุติลงไปด้วย. แม้นักประวัติศาสตร์ศิลป์ จะเห็นพ้องต้องกันว่า หัวข้อ ต้นไม้เจสซีเป็นตัวอย่างวิเศษสุดในการอ่านภาพ แล้วคิดเปรียบเทียบ เปรียบโยงไปยังบริบทต่างๆทั้งในคัมภีร์เก่าและใหม่.>>
       ต้นไม้เจสซีได้เป็นแบบอย่างในการสร้างต้นไม้สืบทอดรุ่นในคณะนักบวชคณะต่างๆ เช่นต้นไม้ของคณะนักบวชฟรานซิสกัน (Franciscans) หรือคณะนักบวชโดมินิกัน (Dominicans). แต่ละคณะเลือกการนำเสนอตามค่านิยมของคณะ โดยมีต้นไม้เจสซีเป็นแบบอย่าง.  นอกจากนี้ ต้นไม้เจสซี ยังเป็นแบบสร้างต้นไม้ประจำตระกูลมาจนถึงทุกวันนี้. แม้บางคนได้ยกเลิกรูปลักษณ์ของต้นไม้ออกไป ให้เหลือเพียงการแตกกิ่งแตกแขนงออกเท่านั้น, แต่ก็ยังมีคนที่สนุกกับการทำต้นไม้ตระกูลให้สวยหรืองามเก๋  ดังตัวอย่างที่เอามาจาก google ในหัวข้อ free image of a family tree ซึ่งมีแบบให้เลือกมาก ตั้งแต่การยืนยันความเป็นครอบครัวเดียวกัน ไปจนถึงการเติมชื่อในช่องว่างหรือติดภาพประกอบ... 





        ภาพลักษณ์ของต้นไม้ยังคงดลใจคนเสมอมา และเป็นกระดานกระโดดไปยังจินตนาการอื่นๆได้ไม่รู้จบ, เป็นแบบอย่างในการเรียนรู้, ในการจดจำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันเป็นเครือข่าย, หรือแตกกิ่งเป็นความฝันที่ทำให้เรา “ตื่นตัว” เป็นต้น.  
ขอยกตัวอย่างภาพจิตรกรรมสมัยปัจจุบันมาให้ดูว่า ต้นไม้ยังอยู่กับเราเสมอ...ในหัวเราเอง
จิตรกรรมของ Jean-Michel Folon (1934-2005 ชาวเบลเยี่ยม)


บันทึกการเดินทางไปชมต้นไม้ป่าเขาลำเนาไพร และไปพบต้นไม้เจสซีในโรเมเนีย
ที่ได้เป็นแบบฉบับของต้นไม้สืบตระกูลต่อมาจนถึงทุกวันนี้ 
ทำให้ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็ง รวบรวมความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับต้นไม้นี้ 
เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง once and for all.
โชติรส โกวิทวัฒนพงศ์ เขียนไว้ณวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๘. 



สนใจอยากรู้เรื่องอื่นๆ เชิญเข้าไปเลือกอ่านได้ที่นี่ >>     

No comments:

Post a Comment